All About Japan

10 ที่เที่ยวที่ไม่ควรพลาดใน”เกียวโต”

แผนการการเดินทาง ข้อมูล Kyoto Kansai
10 ที่เที่ยวที่ไม่ควรพลาดใน”เกียวโต”

เกียวโต เมืองสำคัญในภูมิภาคคันไซ มีประวัติศาสตร์อันยาวนานควบคู่กับวัฒนธรรมและความศรัทธาในศาสนาที่หยั่งรากลึกมาจนปัจจุบัน มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมากมายและยังคงกลิ่นอายโบราณเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ขอแนะนำ 10 ที่เที่ยวที่คุณไม่ควรพลาดเมื่อได้มาเยือน"เกียวโต"

1. วัดคินคะคุจิ หรือวัดทอง (Kinkakuji Temple)

1. วัดคินคะคุจิ หรือวัดทอง (Kinkakuji Temple)

หนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญเมื่อเอ่ยถึงชื่อเมืองเกียวโต และน่าจะเป็นหนึ่งในวัดที่เป็นที่คุ้นตาของคนไทยมากที่สุด เพราะศาลาสีทองที่โดดเด่นของวัดคินคะคุจินี้เคยปรากฏอยู่ในฐานะที่พักอาศัยของ โชกุนอาชิคางะ โยชิมิสึ ที่คนไทยคุ้นเคยจากการ์ตูนเรื่องเณรน้อยเจ้าปัญญาอิคคิวซัง ซึ่งถือเป็นข้อเท็จจริงตามประวัติศาสตร์เช่นกัน

ภายหลังจากที่โชกุนโยชิมิสึได้เสียชีวิตลง สถานที่แห่งนี้ก็ได้ถูกเปลี่ยนจากที่พำนักของโชกุนมาเป็นวัดคินคะคุจิ ตามเจตนารมณ์และความศรัทธาของท่าน

นอกจากความสำคัญทางประวัติศาสตร์แล้ว วัดคินคะคุจิยังถือเป็น 1 ในสถานที่ 17 แห่งของเมืองเกียวโตที่ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์กรยูเนสโก ความสวยงามของตัวศาลาสีทองนั้นดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยือนวัดแห่งนี้อย่างเนืองแน่นตลอดทั้งวัน ขอแนะนำว่าใครที่อยากไปชื่นชมความงามและถ่ายรูปสวยๆ ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนสงบ ควรเดินทางไปตั้งแต่ช่วงเช้าจะดีที่สุด

การเดินทาง : ขึ้นรถเมล์สาย 12 หรือ 59 จากหน้าสถานีเกียวโต มาลงที่ป้าย Kinkakuji-mae
ค่าเข้าชม : 400 เยน
เวลาเปิดทำการ : 09.00 – 17.00 น.

2. ย่านกิออน (Gion District)

2. ย่านกิออน (Gion District)

ถ้าได้มาเยือนเมืองเก่าอย่างเกียวโตแล้ว ย่านสำคัญที่ถือว่าไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งก็คือย่าน ”กิออน” ที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับบรรยากาศย้อนยุคจากกลุ่มอาคารบ้านเรือนอันเก่าแก่ ซึ่งประกอบไปด้วยร้านอาหารญี่ปุ่นชั้นดีมากมาย และจุดพิเศษของย่านแห่งนี้ก็คือเป็นย่านที่มีเหล่า ”เกอิชา” ตัวจริง ใช้เป็นสถานที่พักอาศัยและออกไปทำงานมอบความบันเทิงให้กับลูกค้าตามร้านอาหารหรูหราในย่านนี้

ย่านกิออนในเกียวโตนั้นแบ่งออกเป็น 2 โซนหลักๆ โซนแรกมีชื่อว่าฮานามิโคจิ (Hanami-Koji) คือถนนเล็กที่อยู่ระหว่างสถานีรถไฟใต้ดิน Gion Shijo และศาลเจ้ายาซากะ และอีกโซนคือชิราคาวะ (Shirakawa) ถนนที่ตัดกับถนนสายฮานามิโคจิ มีเสน่ห์ที่โดดเด่นคือลำคลองสายเล็กๆที่ไหลเลียบมากับถนน และร้านอาหารส่วนใหญ่ก็ตั้งอยู่ริมคลอง โดยย่านกิออนนั้นจะเริ่มคึกคักและพบเห็นเหล่าเกอิชาได้ตั้งแต่ช่วงเย็นเป็นต้นไป แต่ในยามเช้าที่มีบรรยากาศเงียบสงบนั้นก็มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน

การเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดิน Keihan Main Line มาลงที่สถานี Gion Shijo
ค่าเข้าชม : ไม่มีค่าเข้าชม
เวลาเปิดทำการ : เปิด 24 ชั่วโมง

3. เจดีย์ยาซากะ (Yasaka Pagoda)

3. เจดีย์ยาซากะ (Yasaka Pagoda)

เจดีย์ยาซากะเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของเมืองเกียวโต ด้วยลักษณะเจดีย์ไม้ 5 ชั้นแบบญี่ปุ่น ความสูง 49 เมตร และยังตั้งอยู่ท่ามกลางย่านเมืองเก่าฮิกาชิยาม่าที่ให้บรรยากาศย้อนยุคราวกับอยู่ในสมัยญี่ปุ่นโบราณ จึงทำให้เจดีย์ยาซากะและบริเวณรอบๆกลายเป็นจุดยอดฮิตในการถ่ายภาพเป็นที่ระลึก และยังเป็นจุดที่ได้รับความนิยมจากบรรดานักท่องเที่ยวในการเช่าชุดกิโมโนมาสวมใส่เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมอีกด้วย

หลายคนอาจแปลกใจว่าเพราะเหตุใดถึงมีเจดีย์ 5 ชั้นขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในย่านนี้ ทั้งๆที่พื้นที่รอบๆไม่ได้เป็นวัด และมีแต่อาคารบ้านเรือนทั่วไป แต่ในความเป็นจริงนั้นเจดีย์ยาซากะถือเป็นส่วนหนึ่งของวัดโฮคันจิ ซึ่งถูกก่อตั้งมาตั้งแต่ค.ศ. 592 หรือก่อนที่เกียวโตจะกลายมาเป็นเมืองหลวงเสียอีก และด้วยกาลเวลาอันยาวนานนับพันปี ทำให้ระหว่างนั้นวัดโฮคันจิได้รับความเสียหายจากทั้งสงครามและแผ่นดินไหวหลายต่อหลายครั้ง และมีเพียงตัวเจดีย์ 5 ชั้นที่ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

การเดินทาง : ขึ้นรถบัสสาย 100 หรือ 206 จากหน้าสถานีเกียวโต ไปลงที่ป้าย Higashiyama-Yasui หรือ Kiyomizu-michi
ค่าเข้าชม : ไม่มีค่าเข้าชม
เวลาเปิดทำการ : 10.00 - 16.00 น.

4. วัดคิโยมิซุเดระ หรือวัดน้ำใส (Kiyomizu Dera Temple)

4. วัดคิโยมิซุเดระ หรือวัดน้ำใส (Kiyomizu Dera Temple)

นอกจากคินคะคุจิหรือวัดทองแล้ว ยังมีวัดสำคัญอีกแห่งหนึ่งในเกียวโตที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงไม่แพ้กัน นั่นก็คือวัดคิโยมิซุเดระ หรือวัดน้ำใส โดยชื่อเสียงและความศรัทธาของวัดแห่งนี้ก็ได้ปรากฏอยู่อย่างชัดเจนในชื่อของวัด เพราะด้านในนั้นมีสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ 3 สายซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไหลผ่าน โดยชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อกันว่าหากดื่มน้ำสายแรก จะทำให้ประสบความสำเร็จด้านการศึกษา หากดื่มน้ำสายที่สอง จะทำให้สมหวังด้านความรัก และหากดื่มสายที่สาม จะทำให้มีอายุยืนยาว จึงทำให้มีผู้คนมากมายเดินทางมาดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดตลอดเวลา

นอกจากนี้ จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของวัดน้ำใสก็คืออาคารหลักขนาดใหญ่ของวัดซึ่งสร้างขึ้นด้วยไม้และมีอายุนานเกือบ 400 ปี (อาคารหลักที่เห็นอยู่เป็นของเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1633)

จุดชมวิวที่มองเห็นอาคารหลักของวัดน้ำใสนั้นถือเป็นอีกหนึ่งมุมถ่ายรูปหลักของเกียวโตที่ไม่ว่าใครๆก็ต้องการบันทึกภาพเก็บไว้ ซึ่งจากมุมนี้จะมีความสวยงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ผลิเมื่อดอกซากุระบาน และในฤดูใบไม้ร่วงที่ต้นไม้ภายในวัดจะเปลี่ยนสีสันเป็นสีเหลืองและสีแดงทั้งหมด

การเดินทาง : ขึ้นรถบัสสาย 100 และ 206 จากหน้าสถานีเกียวโต ลงที่ป้าย Gojo-zaka หรือ Kiyomizu-michi
ค่าเข้าชม : บริเวณรอบวัดไม่เสียค่าเข้าชม แต่มีค่าเข้าอาคารหลัก 300 เยน
เวลาเปิดทำการ : 06.00 - 18.00 น.

5. ปราสาทนิโจ (Nijo Castle)

5. ปราสาทนิโจ (Nijo Castle)

https://www.flickr.com/photos/xiquinho/3599204271/

เมื่อพูดถึงปราสาทสำคัญในภูมิภาคคันไซแล้ว หลายคนอาจจะนึกถึงปราสาทโอซาก้าที่แสนคุ้นตาเป็นที่แรก แต่อดีตเมืองหลวงแห่งญี่ปุ่นอย่างเกียวโตนั้นก็มีปราสาทสำคัญประจำเมืองเช่นกัน โดยปราสาทนิโจแห่งนี้จะมีลักษณะแตกต่างจากปราสาทแบบญี่ปุ่นในเมืองอื่นๆ ตรงที่ไม่ได้เป็นอาคารสูงขึ้นไป แต่ประกอบไปด้วยกลุ่มอาคารที่มีลักษณะหรูหราคล้ายกับพระราชวังขนาดย่อม ซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่พำนักของโชกุนในตระกูลโทคุงาวะที่ปกครองประเทศญี่ปุ่นอย่างยาวนานถึง 260 ปี (1600 – 1868)

พื้นที่ของปราสาทนิโจถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆคือ
1. นิโนมารุ (Ninomaru) อาคารหลักที่โชกุนใช้พักอาศัยในอดีต จุดเด่นของนิโนมารุคือเมื่อมีคนเดินตามทางเดินในอาคารจะเกิดเสียงคล้ายนกไนติงเกล ในอดีตใช้เป็นเครื่องส่งสัญญาณเมื่อมีคนบุกรุกเข้ามา
2. ฮอนมารุ (Honmaru) เป็นกลุ่มอาคารที่ล้อมรอบด้วยลำคลองสายเล็กๆ ซึ่งไม่เปิดให้เข้าชมพื้นที่ภายใน
3. สวนญี่ปุ่น ประกอบไปด้วยสระน้ำ สวนหิน ต้นซากุระ และต้นเมเปิ้ล ซึ่งจะมีความสวยงามอย่างมากในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง

การเดินทาง : ขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Tozai มาลงที่สถานี Nijojo-mae
ค่าเข้าชม : 600 เยน
เวลาเปิดทำการ : 08.45 - 17.00 น.

  • 1
  • 2
  • 1
  • 2
  • 1
  • 2
know-before-you-go