All About Japan

รวมที่เที่ยวฟรีในเซนไดและรอบๆ (Sendai)

แผนการการเดินทาง ประหยัด Sendai Miyagi โทโฮคุ
รวมที่เที่ยวฟรีในเซนไดและรอบๆ (Sendai)

"เซนได" เป็นเมืองใหญ่ล่าสุดของญี่ปุ่นที่มีบินตรงจากไทย ตั้งอยู่กลางภาค "โทโฮคุ" มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายที่คนไทยยังเคยไปน้อยมาก

1. ซากปราสาทอาโอบะ (Aoba Castle)

1. ซากปราสาทอาโอบะ (Aoba Castle)

https://pixta.jp/

เซนไดเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีขุนศึกคนสำคัญซึ่งมีบทบาทและชื่อเสียงอย่างมากในยุคสงครามรวมประเทศญี่ปุ่น นั่นคือดาเตะ มาซามุเนะ (Date Masamune) ผู้ปกครองเมืองและผู้ก่อตั้งปราสาทเซนได (หรือปราสาทอาโอบะ) แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เมื่อเวลาผ่านไปปราสาทแห่งนี้ได้ถูกทำลายลง จนปัจจุบันเหลือเพียงฐานปราสาทและอาคารขนาดเล็กบางส่วนรอบปราสาท แต่ถึงอย่างนั้นบริเวณซากปราสาทอาโอบะก็ยังถือเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเซนได เพราะเป็นจุดชมวิวเมืองจากมุมสูงที่มีความสวยงาม และในบริเวณเดียวกันยังมีทั้งรูปปั้นของดาเตะ มาซามุเนะ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ปราสาทอาโอบะ (Aoba Castle Museum) และพิพิธภัณฑ์เมืองเซนได (Sendai City Museum) สำหรับใครที่ต้องการศึกษาความเป็นมาและประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมืองเซนได

เวลาเปิดปิด: บริเวณสวนสาธารณะ เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: จากสถานีเซนได ขึ้นรถบัส Loople Sendai Bus ไปลงที่ป้ายหมายเลข 6

2. ถนนโจเซ็นจิ โดริ (Jozenji-dori Avenue)

2. ถนนโจเซ็นจิ โดริ (Jozenji-dori Avenue)

https://pixta.jp/

ถนนโจเซ็นจิ โดริ เป็นหนึ่งในถนนช้อปปิ้งสายหลักของเมืองเซนได และยังมีความโดดเด่นตรงที่มีการปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่เอาไว้จนมีบรรยากาศร่มเย็นและเต็มไปด้วยสีเขียวขจี และสองข้างทางของถนนสายนี้ก็มีทั้งร้านอาหาร ร้านขนม ร้านเสื้อผ้า และร้านขายของนานาชนิด

นอกจากนี้ด้วยบรรยากาศที่ร่มรื่นของถนนสายนี้ ทำให้เป็นสถานที่ในการจัดงานสำคัญมากมายของเมืองเซนได ไม่ว่าจะเป็นงานแสดงดนตรีกลางแจ้งอย่าง โจเซ็นจิสตรีทแจ๊สเฟสติวัลในเดือนกันยายน หรืองานวัฒนธรรมอย่างเซนไดทานาบาตะในเดือนสิงหาคม หรือหากไม่มีโอกาสมาเยือนถนนโจเซ็นจิ โดริ ในช่วงที่มีการจัดกิจกรรม บรรยากาศของต้นไม้บนถนนสายนี้ก็มีความน่าประทับใจในทุกฤดู โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงซึ่งต้นไม้ทุกต้นจะเปลี่ยนสีสันพร้อมกันอย่างสวยงาม

และช่วงที่เป็นไฮไลท์มากที่สุดก็คือเดือนธันวาคม ซึ่งจะมีการจัดเทศกาลเซนได เพเจนท์ ออฟ สตาร์ไลท์ (SENDAI Pageant of Starlight) หรืองานประดับไฟมากกว่าหนึ่งล้านดวงตามต้นไม้บนถนนสายนี้ ซึ่งให้บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความโรแมนติกท่ามกลางฤดูหนาว

การเดินทาง: รถไฟใต้ดินสถานี Kotodaikoen

3. สวนซึซึจิกาโอกะ (Tsutsujigaoka Park)

3. สวนซึซึจิกาโอกะ (Tsutsujigaoka Park)

https://pixta.jp/

สวนซึซึจิกาโอกะเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางเมืองเซนได และมีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในจุดชมดอกซากุระที่สวยที่สุดของเมือง โดยภายในสวนแห่งนี้มีการปลูกต้นซากุระเอาไว้กว่าหนึ่งพันต้น มีทั้งสายพันธุ์ที่บานแบบห้อยระย้า รวมถึงสายพันธุ์ที่บานช้ากว่าที่อื่น

นอกจากนี้ยังเป็นสวนที่มีการจัดเทศกาลชมดอกไม้อีกประเภทหนึ่งที่สวยงามไม้แพ้กัน นั่นก็คือเทศกาลชมดอกซึซึจิ ซึ่งจะจัดขึ้นประมาณกลางเดือนเมษายนไปจนถึงเดือนพฤษภาคม โดยต้นซึซึจิหรือต้นอะเซเลียเป็นไม้พุ่มซึ่งจะมีดอกสีชมพูเข้มหรือสีแดง และเมื่อถึงเวลาผลิดอก ก็จะออกดอกไปทั่วทั้งต้นจนมองไม่เห็นใบ กลายเป็นพุ่มกลมสีชมพูหรือแดงที่เรียงรายกันอย่างสวยงาม

เวลาเปิดปิด: เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: สถานีรถไฟ Tsutsujigaoka

4. สวนปราสาทฟุนะโอกะ (Funaoka Castle Park)

4. สวนปราสาทฟุนะโอกะ (Funaoka Castle Park)

https://pixta.jp/

สวนปราสาทฟุนะโอกะเป็นจุดชมดอกซากุระที่มีชื่อเสียงอีกหนึ่งแห่ง ห่างจากเมืองเซนไดด้วยการเดินทางโดยรถไฟประมาณ 30 นาที โดยตัวปราสาทฟุนะโอกะทุกวันนี้เหลือเพียงบริเวณสวนและเนินเขาโดยรอบที่มีต้นซากุระที่ผลิบานพร้อมกันอย่างสวยงามในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

ไฮไลท์และเอกลักษณ์ที่สำคัญของสวนแห่งนี้คือการขึ้นรถรางคันเล็กๆ ขึ้นไปบนเนินเขา ซึ่งเส้นทางของรถรางสายนี้เป็นการวิ่งผ่ากลางเข้าไปในดงต้นซากุระ ทำให้ตลอดสองข้างทางนั้นจะได้สัมผัสกับวิวดอกซากุระอย่างใกล้ชิด และบนเนินเขายังเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นแนวต้นซากุระไปทั่วบริเวณ และยังมีแลนด์มาร์กสำคัญคือรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ และในบริเวณใกล้เคียงกันก็คือแม่น้ำชิโรอิชิ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดชมซากุระที่มีชื่อเสียงจากบรรยากาศของต้นซากุระนับพันต้นที่ปลูกเรียงรายตามแนวแม่น้ำสายนี้

เวลาเปิดปิด: 09.00 – 21.00 น. (หมายเหตุ เวลาทำการข้างต้นเป็นเวลาทำการในช่วงเวลาปกติ)
การเดินทาง: สถานี Funaoka

5. อ่าวมัตสึชิมะ (Matsushima Bay)

5. อ่าวมัตสึชิมะ (Matsushima Bay)

https://pixta.jp/

อ่าวมัตสึชิมะเป็นจุดท่องเที่ยวที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 3 ทัศนียภาพที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น จากภาพของโค้งอ่าวที่มีเกาะน้อยใหญ่กระจัดกระจายอยู่กว่า 260 เกาะ โดยสามารถสัมผัสกับทัศนียภาพในมุมสูงนี้ได้จากหอชมวิวนิฮงซังเค (Nihon Sankei Watchtower) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณริมอ่าว

นอกจากนี้แล้ว บริเวณอ่าวมัตสึชิมะยังมีกิจกรรมมากมายที่สามารถใช้เวลาเที่ยวได้ทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นการล่องเรือเพื่อชมบรรยากาศของหมู่เกาะขนาดเล็กภายในอ่าวอย่างใกล้ชิด การเดินข้ามสะพานไม้สีแดงไปยังเกาะฟุคุอุระ และการท่องเที่ยวในโซนวัฒนธรรมของเมืองมัตสึชิมะซึ่งมีทั้งวัดซุยกังจิ (Zuiganji Temple) วัดเอ็นซืออิน (Entsuin Temple) วิหารโกะไดโด (Godaido Temple) และเรือนน้ำชาคันรันเท (Kanrantei Tea House) รวมถึงการแวะชิมอาหารทะเลสดใหม่จากท้องทะเลจากร้านอาหารหรือตลาดปลามัตสึชิมะ (Matsushima Fish Market) ซึ่งของขึ้นชื่อของเมืองนี้ก็คือหอยนางรมที่ทั้งสด มีขนาดใหญ่ และราคาถูก

การเดินทาง: สถานี Matsushima

6. น้ำตกอะคิอุ โอตากิ (Akiu Otaki)

6. น้ำตกอะคิอุ โอตากิ (Akiu Otaki)

https://pixta.jp/

น้ำตกซึ่งตั้งอยู่บริเวณชานเมืองเซนได ตัวน้ำตกนั้นมีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในน้ำตกที่สวยงามมากที่สุดแห่งนึงของญี่ปุ่น และยังถือเป็นจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงาม ซึ่งในช่วงราวต้นเดือนพฤศจิกายนนั้น ต้นไม้โดยรอบน้ำตกจะพากันเปลี่ยนสีสันเป็นสีส้มสลับแดง แต่อีกหนึ่งฤดูที่มีความสวยงามไม่แพ้กันก็คือในระหว่างช่วงฤดูหนาว น้ำตกแห่งนี้และลำธารโดยรอบจะแข็งตัวเป็นน้ำแข็งทั้งหมดท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายไปทั่วทั้งหุบเขา ส่วนในฤดูร้อนนั้นถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การมาเดินป่าชมธรรมชาติมากที่สุด

นอกจากนี้ในบริเวณใกล้เคียงยังเป็นที่ตั้งของอะคิอุ ออนเซ็น (Akiu Onsen) หนึ่งในออนเซ็นที่มีชื่อเสียงของจ.มิยางิ ซึ่งมีทั้งประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่จากการก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 6 และสรรพคุณของน้ำแร่ที่ว่ากันว่าช่วยในการรักษาโรคทางประสาท ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และขจัดความเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี

การเดินทาง: จากสถานีเซนได ขึ้นรถบัสที่ชานชาลาหมายเลข 8 มาลงที่ป้าย Akiu Otaki

7. ย่านบุงกะ โยโคโช (Bunka Yokocho)

7. ย่านบุงกะ โยโคโช (Bunka Yokocho)

https://pixta.jp/

ย่านกินดื่มขนาดเล็กแต่มีชื่อเสียงและอัดแน่นไปด้วยร้านอาหารสไตล์อิซากายะ ปิ้งย่าง และราเม็งอยู่มากกว่า 50 ร้าน จุดเด่นของย่านแห่งนี้นอกจากความอร่อยและบรรยากาศที่ครึกครื้นในยามค่ำคืนแล้ว สภาพโดยรวมของย่านยังให้กลิ่นอายที่ย้อนยุคกลับไปในยุคโชวะ หรือราวปี 70-80 ของญี่ปุ่น ที่เต็มไปด้วยแสงสีและความคลาสสิค และยังถือเป็นจุดที่สามารถหาชิมลิ้นวัวย่าง หนึ่งในอาหารขึ้นชื่อของเมืองเซนได โดยย่านแห่งนี้จะเริ่มคึกคักแต่แต่ช่วงหลังตะวันตกดินเป็นต้นไป

เวลาเปิดปิด: ร้านส่วนใหญ่ จะเปิดทำการประมาณ 18.00 – 00.00 น. (หมายเหตุ เวลาทำการข้างต้นเป็นเวลาทำการในช่วงเวลาปกติ)
การเดินทาง: รถไฟใต้ดินสถานี Aoba-dori Ichibancho

8. ถนนคลิสโรด (Clis Road)

8. ถนนคลิสโรด (Clis Road)

https://pixta.jp/

ถนนสายช้อปปิ้งที่สำคัญอีกหนึ่งแห่งของเมืองเซนได เป็นศูนย์รวมของร้านค้าทุกประเภทตั้งแต่ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของแบรนด์ ไปจนถึงเกมเซนเตอร์ คาราโอเกะ และโรงหนัง และยังมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อีกจำนวนหนึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน ถือเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวที่สามารถแวะมาช้อปปิ้ง ทานอาหาร และเลือกดูของฝากได้ตลอดทั้งวัน

ไฮไลท์สำคัญคือระหว่างเทศกาลเซนไดทานาบาตะ (Sendai Tanabata Matsuri) ซึ่งจัดขึ้นประมาณต้นเดือนสิงหาคมของทุกปี จะเป็นช่วงเวลาที่มีการประดับประดาโคมกระดาษหลากสีสันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวันทานาบาตะ และระหว่างเทศกาลก็จะมีชาวเมืองเซนไดแต่งชุดยูคาตะออกมาเดินเที่ยวเมืองกัน เป็นบรรยากาศที่สัมผัสได้เพียงช่วงสั้นๆ ปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น

เวลาเปิดปิด: ร้านส่วนใหญ่เปิดทำการประมาณ 10.00 – 20.00 น. (หมายเหตุ เวลาทำการข้างต้นเป็นเวลาทำการในช่วงเวลาปกติ)
การเดินทาง: รถไฟใต้ดินสถานี Aobadori

9. ตลาดเช้าเซนได (Sendai Asaichi Morning Market)

9. ตลาดเช้าเซนได (Sendai Asaichi Morning Market)

https://pixta.jp/

ตลาดสำคัญประจำเมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นครัวของเมืองเซนได โดยรวมถือเป็นตลาดที่มีขนาดเล็ก มีร้านค้าอยู่ประมาณ 70 ร้าน จำหน่ายตั้งแต่อาหารทะเลสดๆ ไปจนถึงผักผลไม้นานาชนิด

นอกจากนี้ยังเป็นอีกจุดหนึ่งที่จะมีสีสันอย่างมากระหว่างการจัดเทศกาลเซนไดทานาบาตะ (Sendai Tanabata Matsuri) เนื่องจากร้านรวงต่างๆ ในตลาดจะพร้อมใจกันนำโคมไฟกระดาษมาประดับอย่างสวยงาม และสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่อยากตื่นเช้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมาเดินเที่ยวตลาดแห่งนี้ไม่ทัน เพราะร้านค้าจำนวนมากในตลาดแห่งนี้เปิดทำการตั้งแต่เช้าไปจนถึงเย็น

เวลาเปิดปิด: ประมาณ 06.00 – 18.00 น. แล้วแต่ร้านค้า (หมายเหตุ เวลาทำการข้างต้นเป็นเวลาทำการในช่วงเวลาปกติ)
การเดินทาง: เดินจากสถานีเซนไดประมาณ 5 นาที

10. หุบเขาไรไรเคียว (Rairaikyo Gorge)

10. หุบเขาไรไรเคียว (Rairaikyo Gorge)

https://pixta.jp/

หุบเขาไรไรเคียวเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อยู่ในบริเวณเดียวกับ น้ำตกอะคิอุ โอตากิ และอะคิอุ ออนเซ็น ที่ได้แนะนำไปแล้ว โดยเป็นหุบเขาที่มีลำธารไหลผ่าน มีความโดดเด่นตรงที่เป็นหุบเขาที่ถูกสายน้ำกัดเซาะจนมีรูปทรงที่ทั้งแปลกและสวยงาม หินบางก้อนในหุบเขาแห่งนี้มีรูปทรงโดดเด่นจนถึงกับมีชื่อเรียกเฉพาะ และจุดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของหุบเขาแห่งนี้ก็คือบริเวณใกล้กับสะพานโนโซกิซึ่งเป็นสะพานหลักและจุดชมวิวสำคัญในหุบเขาแห่งนี้ จะมีก้อนหินอยู่ก้อนหนึ่งที่ถูกน้ำกัดเซาะจนมีเกิดเป็นหลุมรูปหัวใจ จนกลายเป็นจุดขอพรยอดนิยมสำหรับคู่รักในปัจจุบัน โดยหุบเขาไรไรเคียวแห่งนี้จะมีความสวยงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เพราะทั้งหุบเขาจะกลายเป็นสีส้มแดงตัดกับลำธารใสที่ไหลผ่านเบื้องล่าง

การเดินทาง: จากสถานีเซนได ขึ้นรถบัส Akiu Line Bus ที่ป้ายหมายเลข 8 ไปลงที่ป้าย Nozokibashi

ผู้เขียน: ชินพงศ์ มุ่งศิริ
เริ่มต้นทำงานเป็นช่างภาพอิสระหลังเรียนจบ เดินทางไปถ่ายภาพที่ประเทศญี่ปุ่นบ่อยครั้งจนครบทั้ง 4 ฤดูอันสวยงาม และเกือบครบทุกภูมิภาค มีผลงานภาพถ่ายตีพิมพ์ในไกด์บุ๊คระดับโลกอย่าง Lonely Planet ถึง 3 เล่ม คือ Discovery Japan, Japan และ Kyoto รวมถึงเว็บไซต์ท่องเที่ยวชั้นนำอย่าง National Geographic Traveler UK, BBC Travel, Travel+Leisure, TIME และอีกมาก
นอกจากการถ่ายทอดความสวยงามของประเทศญี่ปุ่นผ่านภาพถ่าย ปัจจุบันยังหันมาถ่ายทอดเรื่องราวผ่านทางตัวอักษรทั้งในฐานะนักเขียนและนักแปลควบคู่กันไปอีกด้วย

know-before-you-go