All About Japan

5 ข้อดีของการเที่ยวโฮมสเตย์กับโครงการ WWOOF

การทำฟาร์ม ที่พัก เรียวกัง ชีวิตในญี่ปุ่น เที่ยวด้วยตัวเอง เรียนต่อญี่ปุ่น ทำงานในญี่ปุ่น เลี้ยงลูกแบบญี่ปุ่น Fukuoka Kyushu
5 ข้อดีของการเที่ยวโฮมสเตย์กับโครงการ WWOOF

การพักแบบโฮมสเตย์ เป็นโอกาสหนึ่งที่จะทำให้เราได้ลองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวคนญี่ปุ่น นอกจากจะได้อยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่พักแบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่นในราคาสุดถูก ได้เห็นการใช้ชีวิตแบบญี่ปุ่นแท้ๆแล้ว ยังมีอีกหลากหลายข้อดีที่ขอแนะนำว่าถ้าใครยังไม่เคยลองต้องไปลองพักดูสักครั้งนะ

จริงๆแล้วการพักแบบโฮมสเตย์ปกติตามที่ทุกคนคงรู้จักกันดีในญี่ปุ่นก็มีอยู่หลายที่ แต่ที่เราเลือกไป เราไปผ่านทางโครงการ WWOOF ที่เป็นโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และสนับสนุนสวนผัก ผลไม้ หรือฟาร์มออร์แกนิคในญี่ปุ่น โดยจะมีเจ้าของฟาร์มเป็นคนรับสมัครให้วูฟเฟอร์ หรือผู้สมัครเข้าร่วมโครงการเข้าไปทำงานตามที่โฮสต์บอก และเราจะได้ที่พักและอาหารฟรีเป็นค่าตอบแทน โดยโฮสต์บางคนจะมีการพาไปเที่ยว หรือแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้วย ดูแลกันเหมือนครอบครัวเลย

โครงการนี้มีอยู่ทั่วทุกภูมิภาคที่ญี่ปุ่นและเปิดรับตลอดทั้งปี โดยเราเลือกไปพักที่จังหวัดฟุกุโอกะเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ซึ่งตลอด 2 อาทิตย์ที่ผ่านไปนั้น เราได้เห็นมุมมองใหม่ๆ เห็นแนวคิดของคนญี่ปุ่นดีๆหลายอย่าง มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1. ได้ฝึกภาษาญี่ปุ่น

1.	ได้ฝึกภาษาญี่ปุ่น

แน่นอนว่าถึงแม้โฮสต์จะพูดภาษาอังกฤษได้ แต่ก็ใช่ว่าโฮสต์จะคุยภาษาอังกฤษกับเรา

ทุกๆวันตลอด 2 อาทิตย์เราใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นสื่อกลางในการสื่อสารทั้งกับวูฟด้วยกันเอง และกับโฮสต์ เพราะวูฟที่มาก็ล้วนแต่อยากฝึกภาษาญี่ปุ่น และโฮสต์ก็อยากให้เราได้ฝึกภาษาของเขาด้วย เลยกลายเป็นแทบจะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย โฮสต์จะคุยภาษาอังกฤษกับเราเฉพาะเวลาที่เราไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นจริงๆ ถ้าใครยังหาเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นไม่ได้ หรือตอนอยู่ในห้องเรียนไม่กล้าพูดละก็คราวนี้แหละเป็นโอกาสดีที่ได้ฝึกอย่างเต็มที่ จะผิดจะถูกก็ไม่ต้องกังวลเพราะไม่มีคะแนน แค่กล้าและพยายามที่จะพูด พยายามหาเรื่องสนุกๆมาคุยกับเขา คนญี่ปุ่นเขาพร้อมที่จะฟังและทำความเข้าใจกับเรา และบางครั้งยังช่วยสอนเราด้วยว่าจริงๆแล้วประโยคที่ถูกต้องต้องใช้ยังไง หรือว่าจะเป็นการสอนภาษาถิ่น ( สำเนียงคิวชู ) ของเขาก็มีปนมาให้ฝึกด้วยเช่นกัน

2. ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ

2.	ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ

แน่นอน เพราะถ้ายังเที่ยวเองตามสถานที่ยอดฮิตในรีวิว หรือตามทัวร์ ก็จะไม่ได้มีโอกาสได้เห็นสถานที่เที่ยวอื่นๆที่แปลกๆและไม่ได้เป็นที่นิยมจนติดรีวิว

และการได้ลองทำอะไรใหม่ๆ อย่างการทำงานในฟาร์มผลไม้แบบนี้ก็มีแน่นอน ซึ่งงานที่ทาง WWOOF ให้ทำก็มีหลากหลายไปอย่างลงแปลงนา ปีนหลังคา เก็บผลผลิต พวกสตอเบอรี่ องุ่น บางฤดูกาลก็มีอบขนม นอกจากจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆแล้วยังเป็นการฝึกความอดทนไปในตัวด้วย เพราะการทำงานกลางแจ้งทุกวันเป็นเรื่องที่หลายคนอาจจะหลีกหนีมาตลอด แต่สำหรับเราเราว่ามันสนุกและเป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย

3. ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม

3.	ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม

ความคิด มุมมองกับคนญี่ปุ่นและชาติอื่นๆ เพราะตลอดการอยู่ด้วยกัน 2 อาทิตย์ ไม่ใช่ว่าต่างคนต่างทำงานเลิกงานก็แยกย้าย แต่เรามีการพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องต่างๆกัน ทำให้รู้มุมมองของคนชาติอื่น ได้เปิดความคิด ได้เห็นโลกที่กว้างขึ้น เห็นวิธีการคิดของคนญี่ปุ่น เช่นการรีไซเคิลขยะ การสอนลูก การพึ่งตัวเอง การฝึกวินัยให้เด็กๆเป็นต้น

อย่างเช่นที่เราเจอ ตอนเช้าคนญี่ปุ่นจะฝึกให้เด็กตื่นเช้ามาดูแลสุขภาพ ด้วยการเปิดเพลงให้ออกกำลังกายตั้งแต่ 6.30 น. ซึ่งเด็กที่มาออกกำลังกายจะมีบัตรสะสมแสตมป์อยู่ ใครได้ครบตามที่กำหนดจะมีของรางวัลเล็กๆน้อยๆให้ เป็นการฝึกเด็กตื่นเช้าแบบสนุกๆและดีต่อสุขภาพไปในตัวด้วย

4. ได้เพื่อนใหม่

4.	ได้เพื่อนใหม่

ในช่วงที่เราไปเป็นวูฟนั้น ไม่ได้มีเราคนเดียวที่ไป แต่ยังมีคนชาติอื่นที่สนใจวัฒนธรรมและการใช้ชีวิตกับคนญี่ปุ่นเหมือนกันมาทำด้วย อย่างตอนเราไปมีวูฟผู้หญิงลูกครึ่งญี่ปุ่น-เชค 2 คน มาก่อนเรา และมีผู้ชายอเมริกาอีกคนมาพร้อมเรา หลังจากนั้นอีก 1 อาทิตย์มีคนจีนที่เกิดที่ฝรั่งเศสมาอีก 1 คน

เมื่อวูฟที่มาด้วยกันทุกคนล้วนมีจุดหมายเหมือนกัน คือ อยากฝึกภาษาญี่ปุ่นและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เลยทำให้การคุยกันถูกคอง่ายขึ้น ช่วยเหลือกันตอนทำงาน เที่ยวด้วยกัน ก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง หลังจากที่แยกย้ายกลับประเทศไปแล้วก็ยังสามารถติดต่อกันได้ ดีไม่ดีวันหนึ่งเราอาจจะได้ไปเยี่ยมประเทศของเพื่อนวูฟ และเพื่อนอาจจะพาเราเที่ยวในประเทศของเขาเองก็ได้

5. ได้พลังในการกลับมาคิดทำสิ่งใหม่ๆ

5.	ได้พลังในการกลับมาคิดทำสิ่งใหม่ๆ

เพราะพอเราเห็นโลกที่กว้างขึ้นเราก็จะเกิดไอเดียใหม่ๆขึ้น เช่น อาจจะเอาแนวทางการปลูกผักของโฮสต์มาลองปลูกเองในบ้าน (จนอาจขยายต่อเป็นธุรกิจในอนาคตก็ได้) หรือลองเอาวิธีทำขนมทำอาหารสไตล์ออร์แกนิคของโฮสต์มาลองทำดูบ้าง นอกจากนี้เราเองยังได้แรงบันดาลใจ มีแรงฮึดสู้ให้ตั้งใจเรียนภาษาญี่ปุ่นขึ้นไปอีก เพราะเวลาเราอาศัยอยู่กับคนญี่ปุ่นเราก็จะรู้สึกอยากพูด อยากแชร์เรื่องต่างๆกับโฮสต์ ยิ่งถ้าเราพูดได้มากเท่าไหร่ การไปพักแบบโฮมสเตย์ยิ่งสนุกไปอีก และพอเวลาเราเห็นคนอื่นพูดและฟังญี่ปุ่นได้ดีแต่เขากลับเจอปัญหาที่เขียนไม่ได้ หรือบางคนที่อาศัยทุกช่วงเวลาว่างในการท่องและคัดคันจิ เลยทำให้เรารู้สึกว่าทุกคนพยายามในส่วนที่ตัวเองไม่ถนัดให้ดีขึ้นในทุกๆวัน เราก็จะมีแรงฮึดสู้ไปในตัวเช่นกัน

ถ้าใครที่สนใจอยากลองหาประสบการณ์ใหม่ๆกับการพักแบบโฮมสเตย์แบบนี้เราก็อยากชวนให้ลองไปทำวูฟสักครั้งดูนะคะ รับรองว่าได้เห็นอะไรใหม่ๆแน่นอน ดีไม่ดีโฮสต์ที่เราไปพักกับเขาแค่ระยะเวลาสั้นๆอาจจะกลายเป็นอีกครอบครัวที่เราผูกพันเหมือนญาติพี่น้องก็เป็นได้ เหมือนชาวไต้หวันคนนึงที่มาเยี่ยมโฮสต์เรา เขาบอกว่ามาเป็นครั้งที่ 9-10 ครั้งได้แล้ว อยากสัมผัสประสบการณ์แบบนี้ดูรายละเอียดเรื่องการสมัครวูฟเพิ่มเติมได้ที่นี่

know-before-you-go