ตัวอย่างแผนกินเที่ยวโตเกียว 1 วันงบไม่เกินพัน
จุดที่ 1 แชะภาพสถานีรถไฟโตเกียว ฝั่งทางออก Marunochi
8:00
จุดเช็คอินแรกของเราคือสถานีรถไฟโตเกียว ที่นี่ถือได้ว่าเป็นจุดตั้งต้นที่สะดวกสุดเพราะเป็นแหล่งรวมรถไฟหลายที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนในญี่ปุ่นก็ต้องมาผ่านสถานีแห่งนี้ และที่นี่ยังอยู่ใกล้สถานที่สำคัญๆของโตเกียวอีกด้วย
สิ่งแรกที่เราไม่ควรพลาดนั่นคือการไปแชะภาพพาโนราม่ากับตัวอาคารของสถานีรถไฟสุดขลังที่แสนจะมีเสน่ห์และหรูหราด้วยสีอิฐแดง อาคารนี้ถูกออกแบบโดยสถาปนิกชาวญี่ปุ่น ชื่อ Kingo Tatsuno ที่ตั้งใจออกแบบให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับอาคารสถานีรถไฟกลาง Amsterdam ประเทศเนเธอร์แลนด์
และที่นี่ยังถูกจัดเตรียมไว้สำหรับต้อนรับผู้คนที่จะหลั่งไหลเข้ามาในช่วงการจัดงานโตเกียวโอลิมปิกปี 2020 นี้ด้วย ด้วยเหตุนี้ จึงทำเอาเราอดใจไม่ไหวกดแช๊ะไปหลายภาพตั้งแต่เริ่มต้นทริปราวกับต้องมนต์เลยทีเดียว สิ่งที่ต้องย้ำเตือนกันอีกครั้งคือ ต้องออกจากสถานีให้ถูกทาง เราต้องใช้ทางออก Marunochi Central เท่านั้น นอกจากจะแชะภาพกับอาคารสถานีรถไฟแล้ว ฝั่งตรงข้าม ยังมีวิวตึกสูงระฟ้า ที่มีความหรูหราทางด้านสถาปัตยกรรมอย่าง ห้าง KITTE ที่เปลี่ยนอาคารที่ทำการไปรษณีย์มาเป็นห้างหรูในปัจจุบัน เราสามารถไปเดินเล่นสวยๆได้ ก่อนที่จะไปเที่ยวต่อยังจุดต่อไป
ค่าเข้าชม: ฟรี
วันหยุด: ทุกวันอังคารและวันหยุดช่วงปีใหม่
เวลาทำการ: 9:30-16:30 น.
วิธีเดินทาง: เดิน
ค่าเดินทาง: ฟรี
จุดที่ 2 พระราชวังอิมพีเรียล
9:30
ถ้ามาถึงโตเกียวแล้วไม่มาที่นี่ก็ยังมาไม่ถึงโตเกียว พระราชวังอิมพีเรียลแห่งนี้ปัจจุบันเป็นที่ประทับของพระจักรพรรดิญี่ปุ่นตลอดจนราชวงศ์
ซึ่งจุดยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวนั้นเห็นจะเป็นบริเวณโซนด้านหน้าพระราชวังที่เรียกว่า Nijubashi ซึ่งแปลว่า สะพานคู่ ซึ่งสะพานด้านหน้านี้มักนิยมเรียกกันว่า Meganebashi หรือแปลความหมายได้ว่าสะพานแว่นตา ซึ่งมาจากภาพสะท้อนน้ำของโค้งหินสองอันนั่นเอง จากนั้นเราก็เดินเลยไปยังด้านหลังของพระราชวัง เพื่อไปดื่มด่ำกับ สวนตะวันออกของพระราชวังอิมพีเรียล ที่มีหญ้าเขียวๆดอกไม้สวยๆตัดกับกำแพงหินสีเทา สะท้อนความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างดี
ค่าเข้าชม: ฟรี
วันหยุด: จุดชมสะพานตลอด 24 ชม. ส่วนสวนตะวันออกจะให้เช้าชมเวลา 09.00-16.00 น.
วิธีเดินทาง: เดินจากสถานีรถไฟโตเกียวไปยังพระราชวังอิมพีเรียล 10 นาที
ค่าเดินทาง: ฟรี
จุดที่ 3 Tokyo Character Street ถนนสายการ์ตูน ที่ชั้นใต้ดินของสถานีรถไฟโตเกียว
11:30
หลังจากที่เราดื่มด่ำกับความงามและวัฒนธรรมญี่ปุ่นแล้ว เราก็เดินกลับมายังสถานีรถไฟโตเกียวอีกครั้ง แต่พุ่งตรงไปยังชั้นใต้ดินของสถานี ฝั่งทางออก Yaesu เพื่อไปเดินเที่ยวที่ Tokyo Character Street ย่านการค้าใต้ดิน
ที่นี่เต็มไปด้วยร้านรวงของตัวการ์ตูนและคาแรคเตอร์ยอดฮิตมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โปเกมอน, มารูโกะ, ริลัคคุมะ และอีกหลายๆตัวการ์ตูนกว่า 29 ร้านที่จะมาดูดเงินในกระเป๋าของเราออกไปถ้าใจไม่แข็งพอ แต่ถ้าใครไม่ใช่สายเปย์ เน้นถ่ายรูปชิคๆก็ไม่ต้องห่วงเพราะเดินฟรี แค่ได้มาถ่ายรูปคู่กับตัวการ์ตูนสุดโปรดก็คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มแล้ว
ค่าเข้าชม: ฟรี (แต่ถ้าใจอ่อนแอก็อาจต้องแพ้ไปนะจ๊ะ)
เวลาทำการ: 10:00-20:30
วันหยุด: ไม่มีวันหยุด
วิธีเดินทาง: จากพระราชวังอิมพีเรียลเดินกลับมาที่สถานีโตเกียวชั้นใต้ดิน Tokyo Character Street เดิน 10 นาที
ค่าเดินทาง: ฟรี
จุดที่ 4 อิ่มอร่อยมื้อกลางวันที่ Tokyo Ramen Street
12:00
พอเดินเที่ยวได้ครึ่งวันก็ถึงเวลาหาอะไรใส่ท้อง ซึ่งก็ไม่ต้องมองหาที่ไหนไกลเพราะในชั้นใต้ดินของสถานีรถไฟโตเกียวแห่งนี้ นอกจากมีถนนสายการ์ตูนแล้วฝั่งตรงข้ามก็จะเป็นถนนสายราเมนหรือ Tokyo Ramen Street ที่เค้าได้รวบรวมเอาราเมนหรือบะหมี่ร้านดังๆมารวมไว้ที่นี่กว่า 10 ร้านมีทั้งร้านประจำ และร้านแบบหมุนเวียนให้คุณลิ้มลองความอร่อยได้หลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็น บะหมี่ซุปกระดูกหมู ที่เรียกว่า Tonkotsu Ramen หรือราเมนแบบจิ้มจุ่มที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Tsukemen ก็น่าลอง ด้วยสนนราคาที่ 600 – 1,000 เยนต้นๆ ฉะนั้นเราจึงไม่พลาดที่จะฝากกระเพาะไว้ที่นี่ด้วยประการทั้งปวง
ค่าใช้จ่าย: เรากิน Tsukemen ไป 600 เยน
ค่าอาหารเฉลี่ย : 600 – 1,000 เยน
เวลาทำการ: 10.00-20.00 น.
วิธีเดินทาง: เดินจาก Tokyo Character Street มาที่ Tokyo Ramen Street ได้เลยเพราะอยู่ติดกันในชั้นใต้ดินของสถานีรถไฟโตเกียว
ค่าเดินทาง: ฟรี
จุดที่ 5 เดินเล่นที่ตลาด Ameyoko อันแสนคึกคัก
13:00
เมื่อท้องอิ่มแล้วก็ได้เวลาไปเดินย่อยกัน และจุดที่เราเลือกไปต่อก็คือตลาดสุดฮิตของขาช้อป ตลาด Ameyoko ที่สถานี Ueno นั่นเอง ที่นี่มีดีและโดดเด่นตรงความหลากหลายของสินค้า มีทั้งของสดไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆอย่าง เครื่องสำอาง, กระเป๋า, รองเท้า, เสื้อผ้า, อาหารทะเล, ผลไม้, ผักสด, ขนม, ของกินเล่น, ร้านอาหาร และอีกสารพัดสารพัน พื้นที่ตลาดกินขนาดใหญ่กินพื้นที่ไปหลายซอยรวมถึงชั้นใต้ดินอีกต่างหาก เรียกได้ว่าในห้างมีอะไรที่นี่จัดมาครบหมดแถมมาในราคาที่ถูกกว่าในหลายๆห้างทั่วๆไปเลย ถ้าใครอยากช้อปปิ้งอารมณ์ตลาดๆไม่ควรพลาดที่นี่เลยล่ะ
แต่เดี๋ยวก่อนนน...เรายังมีไฮไลท์ให้ทุกคนได้ลุ้นกัน เพราะเราจะควบแพนด้าไปยังสถานีต่อไปกันค่ะ
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาทำการ: แล้วแต่ร้านค้า
วันหยุด: ไม่มี
วิธีเดินทาง: จากสถานี Tokyo นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote มาลงที่สถานี Ueno แล้วเดินข้ามถนนไปที่ตลาด Ameyoko
ค่าเดินทาง: 160 เยน
จุดที่ 6 มาไหว้พระขอพรที่วัดอาซากุสะ ด้วย Panda Bus
15:30
อีกหนึ่งไฮไลท์ของทริปนี้คือการที่เราได้ควบแพนด้าฟรีๆจากสถานี Ueno มายังเขต Asakusa เป้าหมายต่อไปของเรา ซึ่งแพนด้าที่ว่า คือ รถท่องเที่ยวที่เป็นรูปแพนด้า ที่เรียกว่า Panda Bus ที่ให้บริการฟรีกับนักท่องเที่ยว ที่ดำเนินการโดยรถจะออกทุกๆ 40-60 นาที วิ่งตั้งแต่เวลา 10:00-16:00น. (ยกเว้น 13:00) โดยรับนักท่องเที่ยวใน 14 จุดหลักๆ ระหว่าง Ueno กับ Asakusa ซึ่งครั้งนี้เรานั่งเจ้าแพนด้าจาก หน้าสถานีรถไฟ Ueno แล้วไปลงที่จุดจอดหน้า Kaminarimon ที่หน้าวัดอาซากุสะ (เซนโซจิ) ได้เลย
วัดอาซากุสะ หรือวัดเซนโซจิ เป็นอีกวัดที่มีชื่อเสียงมากในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ด้วยความเก่าแก่และมีเอกลักษณ์อย่างเช่นโคมแดงขนาดบิ๊กเบิ้มที่หน้าประตูทางเข้าที่เรียกว่าประตู Kaminarimon แขกไปใครมาต้องโพสท์ท่าถ่ายกันทุกคน และพอเราผ่านประตูเข้าไปก็จะต้องเดินผ่านถนน Nakamise ที่จะมีร้านค้าขายของที่ระลึกสไตล์ญี่ปุ่นเรียงแถวยาวไปตลอดถนนจนถึงตัววัด จะเลือกซื้อของฝากหรือแวะชิมขนมญี่ปุ่นโบราณอาทิมันจูทอดสอดไส้ต่างๆหรือ ข้าวเกรียบทอดเซมเบ้ ก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ พอไปถึงตัววัด ก็ต้องจุดธูปที่กระถางธูปยักษ์กวักควันธูปใส่กระเป๋าเอาโชคลาภก่อนจะไปไหว้พระขอพรข้างใน
ค่าใช้จ่าย: กินขนมมันจูทอดไป 1 อัน ราคา 300 เยน
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาทำการ: 6:00 - 17:00 น.
วิธีเดินทาง: นั่งรถ Panda Bus ฟรี จากหน้าสถานี Ueno มาลงที่ป้าย Kaminarimon หน้าวัดอาซากุสะ
ค่าเดินทาง: ฟรี
จุดที่ 7 นั่งดริ้งค์ชิลล์ๆที่ร้าน “อิซากายะ” ณ Hoppy Street
17:00
เดินเหนื่อยมาทั้งวัน ได้เวลานั่งพักพร้อมกับเริ่มเวลาอาหารเย็นภายใต้บรรยากาศย้อนยุคที่ถนน Hoppy Street ซึ่งเป็นถนนที่มีร้านเหล้าแบบญี่ปุ่นที่เรียกกันว่า “อิซากายะ” เรียงรายตลอดสาย
ลูกค้าสามารถเลือกนั่งได้ทั้งในร้านหรือด้านนอกที่มีทั้งแบบเปิดโล่งหรือมีม่านผ้าใบ ได้อารมณ์ฮิปแบบญี่ปุ่นสุดๆ ที่สำคัญนอกจากอาหารเย็นของเราในวันนี้ที่ใครมาก็ต้องสั่งอย่าง เมนูสตูว์เนื้อที่ทำจากเอ็นวัวหรือเครื่องในสัตว์ต่างๆตุ๋นพร้อมซอสและน้ำซุปอันกลมกล่อม ในสนนราคาประมาณ 450 เยน พร้อมสั่งเครื่องดื่มยอดนิยมของที่นี่ก็คือ Hoppy (เครื่องดื่มรสชาติคล้ายเบียร์แต่แทบไม่มีแอลกอฮอล์ ใช้เป็นมิกเซอร์ผสมกับเหล้าโชจู) ที่ราคาไม่แพงอย่างที่คิด ตกขวดละประมาณ 400 เยน นั่งกิน นั่งดื่มพลิ้วๆ มันช่างฟินเสียนี่กระไร อิ่มท้องและดื่มพอกรึ่มเล็กๆ ก็น่าจะถึงเวลากลับโรงแรม
ค่าอาหาร: ค่าสตูว์เนื้อ 450 เยน + ค่าHoppy 400 เยน + ค่าไก่ทอดคาราอะเกะ 450 เยน
เวลาทำการ: อังคาร-ศุกร์ 15:00-23:00 น., เสาร์-อาทิตย์ 9:00-23:00 น. (แล้วแต่ร้าน)
วิธีเดินทาง: เดินจากวัดอาซากุสะมาถึง Hoppy street ประมาณ 10 นาที
ค่าเดินทาง: ฟรี
จุดที่ 8 กลับมาที่สถานีรถไฟโตเกียวจุดตั้งต้น
19:00
หลังจากเที่ยวครบ ก็จบทริปเที่ยวโตเกียว 1 วัน ด้วยงบไม่เกิน 3,000 เยน พร้อมปรบมือให้ตัวเองดังๆระหว่างนั่งรถไฟกลับโรงแรมที่สถานีโตเกียว เป็นการใช้เงินครั้งสุดท้ายของวัน แถมมีติดกระเป๋ากลับซะด้วย
ค่าใช้จ่าย: ค่ารถไฟ 298 เยน
วิธีการเดินทาง: นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย Ginza จากสถานี Asakusa มาลงที่สถานี Kanda เพื่อเปลี่ยนเป็นไปขึ้นรถไฟ JR สาย Yamanote ไปลงที่สถานี Tokyo
ค่าเดินทาง : 298 เยน
สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดใน 1 วัน
ค่าบะหมี่ตอนเที่ยง 600 เยน + ค่ารถไฟ 160 เยน + ค่าขนมมันจูทอด 300 เยน +ค่าอาหารเย็นพร้อมเครื่องดื่ม 1,300 เยน +ค่ารถไฟขากลับ 298 เยน
= 2,658 เยน (ประมาณ 790 บาท)