มาช้อป Lucky Bag สุดคุ้มของญี่ปุ่นกัน
ต้นกำเนิดของถุงโชคดี
จริงๆแล้วถุงโชคดีมีมาตั้งแต่ยุคเอโดะ ริเริ่มโดยร้านที่ชื่อว่า เอจิโกะยะ (越後屋) ร้านกิโมโนที่มีรูปแบบทันสมัยในสมัยนั้น
เกิดไอเดียหัวใส จับกิโมโนแบบต่างๆคละกันแล้วมัดขายเป็นถุงๆ โดยใช้ถุงทึบ
แล้วตั้งชื่อว่า ถุงเอบิสึ(えびす袋) มาจากชื่อเทพเจ้าแห่งการค้า และโชคลาภ
ซึ่งถุงเอบิสึแต่ละถุงราคาก็เท่ากันเด๊ะ แต่แน่นอนว่าของข้างในนั้นต่างกันทั้งราคา ดีไซน์และคุณภาพ
เอาล่ะสิ ลูกค้าก็ต้องลุ้นว่าถุงที่ตัวเองซื้อมานั้นจะเฮงหรือจะชวดไป
ซึ่งถึงแม้ว่าทางร้านจะไม่ได้วางขายในช่วงเทศกาลแบบทุกวันนี้ แต่ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน โดยจำกัดเวลาขายเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น
แล้วถุงที่มัดรวมกันนี้ก็ขายดิบขายดีกว่าที่ทางร้านคาดไว้มาก เพราะเป็นไอเดียที่แปลกใหม่
พอร้านอื่นๆในย่านการค้าเห็นขายดีเกินหน้าเกินตาแบบนั้น ก็แบบยอมไม่ด้ายย ทำถุงเอบิสึออกวางขายมั่ง
ซึ่งบางร้านก็ทำการปรับเปลี่ยน โดยวางคอนเซ็ปขายจำกัดเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่ จะได้ไม่ไปชนกับร้านดังๆ
แต่กลับกลายเป็นว่า พอขายช่วงปีใหม่แล้วยิ่งทำให้ขายดีกว่าเดิมไปซะอย่างนั้น
ถึงยุคเมจิ ก็เริ่มมีบางร้านเปลี่ยนชื่อถุงเอบิสึ เป็น ถุงโชคดี(福袋) อย่างที่เรียกกันในทุกวันนี้นั่นเอง
เกิดเป็นกระแสอยู่พักนึงในย่านการค้า แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นนิยมไปทั่วประเทศ ณ ตอนนั้น
เหมือนเป็นที่นิยมเฉพาะในตัวเมือง และซักพักก็เงียบหายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่2
เมื่อถุงโชคดีเป็นกระแสไปทั่วเมือง
พอหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นกำลังฟื้นฟูเศรษฐกิจครั้งใหญ่ "ถุงโชคดี" ก็ได้ถูกร้านค้านำกลับมาวางขายอีกครั้ง
และเป็นที่นิยมขึ้นไปอีก เมื่อหนังสือพิมพ์อาซาฮีตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับถุงโชคดี กลายเป็นเรื่องฮอตฮิต กระจายไปทั่วประเทศญี่ปุ่น
ยิ่งญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสงคราม คนทั่วไปมีกำลังซื้อเพิ่มขี้นเรื่อยๆ ร้านค้าต่างๆก็พากันวางขายถุงโชคดี เกิดเป็นกระแส และได้เสียงตอบรับอย่างล้นหลาม
ไม่ใช่แค่ในเมืองหลวงอีกต่อไป ร้านค้าตามจังหวัดต่างๆในญี่ปุ่นก็เริ่มทยอยทำการวางขายถุงโชคดีเช่นกัน
ซึ่งต่อมา ทุกๆปีในช่วงต้นเดือนมกราคม เราก็จะเห็นถุงทึบที่เด่นสะดุดตา แปะคำว่า"ถุงโชคดี" วางขายตามหน้าร้านต่างๆ
โดยมีแพคเกจตกแต่งหลากหลายรูปแบบ ดึงดูดความสนใจของลูกค้า
โดยเสน่ห์ของถุงโชคดีนั้นก็คือ ต้องลุ้นของที่อยู่ข้างในถุง นี่ล่ะค่ะ
เงินที่เราเสียไปมันจะคุ้มค่ากับของที่อยู่ข้างในถุงมั๊ย แล้วของข้างในล่ะจะถูกใจเรารึเปล่า
มีปัจจัยในการเสี่ยงดวงเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งก็ถือว่าเป็นจุดเด่นที่ทำให้ถุงโชคดีนั้นเป็นที่นิยมนั่นเอง
แต่ส่วนมากของในถุงนั้นก็จะมีราคาที่คุ้มค่าเกินกว่าที่เราจ่ายไปค่ะ ย้ำว่า ส่วนมาก นะคะ
ในยุคฟองสบู่ เคยมีการขายถุงโชคดีที่มีมูลค่าถึง 500ล้านเยน (ประมาณ 150ล้านบาท)
โดยข้างในถุงนั้นเป็นถึงภาพวาดของ ปิกัสโซ จิตรกรชื่อดังเลยทีเดียว
รูปแบบของถุงโชคดีต่างๆในยุคปัจจุบัน
ถุงโชคดีในสมัยนี้ มีรูปแบบต่างๆออกไป โดยไม่ได้จำกัดแค่ต้องเป็น "ถุง" เท่านั้น
อาจจะเป็น กล่องโชคดี ขวดโชคดี กระเป๋าโชคดี แล้วแต่ทางร้านจะจัดสรร แต่ไอเดียหลักยังเหมือนเดิม
ยิ่งในสมัยนี้ ไม่ใช่แค่คนญี่ปุ่น แต่นักท่องเที่ยวหรือแม้แต่คนต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นก็นิยมซื้อถุงโชคดี
ทำให้มีชื่อเรียกหลากหลายออกไป ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ ถุงโชคดี(福袋) แต่เราอาจจะพบได้ทั้ง Lucky bag, Fortune Bag, Happy, bag
และบ้างก็ไม่ได้เป็น bag แต่เป็น box เป็น can(กระป๋อง) ก็มีเช่นกัน
อย่างของทางMuji แบรนด์ดังของญี่ปุ่น ที่ปกติทำกระเป๋าโชคดีออกมาทุกปีอยู่แล้ว
ก็ได้เพิ่มลูกเล่นทำกระป๋องโชคดีออกมาขาย ซึ่งขายดีมาก สินค้าขายเกลี้ยงในเวลาไม่ถึง4ชม.
แถมพนง.มาเติมแล้วหมดๆ หยิบกันหยั่งกับแจกฟรี
อีกตัวอย่างนึงก็คือถุงโชคดีของทาง starbucks ซึ่งขายดีทุกปี
ปีที่แล้วก็หมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึง1ชม.ตั้งแต่วางขาย
ส่วนปีนี้ก็ได้เปลี่ยนมาใช้ระบบออนไลน์แล้ว
โดยเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่เป็นสมาชิกของstarbucksได้ทำการจองผ่านทางเว็บก่อน
ซึ่งแน่นอนว่าการจองออนไลน์นั้นได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม
แทบไม่มีถุงโชคดีเหลือวางขายตามหน้าร้านเลย อะไรจะฮิตกันขนาดนั้น
คอนเซ็ปของถุงโชคดีที่เปลี่ยนไป?
อีกรูปแบบที่เหมาะสำหรับลูกค้าที่อยากได้ความแน่นอนและไม่ต้องการลุ้น
นั่นคือทางร้านแปะป้ายบอกกันจะๆไปเลยว่าข้างในถุงโชคดีนั้นมีอะไรบ้าง
โดยส่วนใหญ่แล้วของที่ได้จะคุ้มราคาที่จ่ายแน่นอน แถมยังเลือกของที่ถูกใจได้ด้วย
แม้จะเป็นที่นิยมในสมัยนี้ เพราะลดความเสี่ยงจากการลงทุน(ในกระเป๋าเงิน)ไปได้ไม่น้อย
และยังไงก็เห็นของข้างในอยู่แล้ว ไม่มีทางจะพลาดได้ของที่ไม่ถูกใจมา
แต่ก็มีลูกค้าบางส่วนกลับเห็นว่า การซื้อโดยรู้ของข้างในถุงอยู่แล้วอาจไม่ตื่นเต้น
และเสน่ห์ดั้งเดิมของถุงโชคดีอาจหายไป ก็จะเลือกที่จะไปซื้อถุงโชคดีแบบที่ให้ไปลุ้นเอาเอง
จะเห็นได้ชัดว่ารูปแบบของถุงโชคดีสมัยนี้นั้นมีหลายหลาย
มีทั้งแบบที่ได้ลุ้นของข้างในถุง ว่าเราจะได้อะไร ดูน่าสนุกตื่นเต้นดี
กับแบบที่ไม่ต้องลุ้น เราจะรู้ว่ามีสินค้าอะไรในถุงเลย ซึ่งก็ยืนยันได้ว่าคุ้มค่าเกินราคาที่จ่ายไปแน่นอน
ไม่ว่าจะแบบไหนก็น่าสนุกใช่ไหมคะ
ถ้าเกิดมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้ว อย่าลืมมาลองซื้อถุงโชคดีติดมือกลับไปด้วยนะคะ~*