ไปชมปราสาทฮิเมจิ มรดกโลกของญี่ปุ่นกัน!
ปราสาทฮิเมจิ
จุดเด่นของปราสาทฮิเมจิมีทั้งความสวยงาม ความใหญ่โต โดยเป็นหนึ่งปราสาทที่"ป้อมปราการหลัก"หรือเทนชู (天守) ไม่ได้เป็นของที่ถูกสร้างขึ้นใหม่หลังสงคราม แต่เป็นของเดิมตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ยังได้รับจัดให้เป็นมรดกโลกอีกด้วย ที่คนญี่ปุ่นกล่าวกันว่าไม่ว่าจะมองจากทิศไหน ไม่ว่าจะมองจากระยะไหนก็เป็นปราสาทที่สวยงามและทรงพลังเป็นอย่างมาก
เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วฮิเมจิได้รับการบูรณาซ่อมแซมครั้งใหญ่ ที่ใช้เวลาปิดซ่อมปรับปรุงไปนานกว่าห้าปีครึ่ง จนถึงเมื่อปี2015 ที่ผ่านมา ในที่สุดปราสาทฮิเมจิปราสาทที่ได้รับการจัดอันดับว่าสวยที่สุดในญี่ปุ่นก็กลับมาอวดโฉมอีกครั้ง ที่การปิดซ่อมใช้ระยะเวลานานมากก็เพราะการบูรณะอาคารโบราณนั้นต้องทำอย่างระมัดระวัง โครงสร้างเก่าที่อยู่มาแต่เดิมมีความละเอียดอ่อน และแน่นอนผู้บูรณะต้องพยายามทำให้ออกมาคล้ายคลึงกับหน้าตาที่แท้จริงในอดีตให้มากที่สุดนั่นเอง
ปราสาทฮิเมจิยังซ่อมอยู่มั้ย
อย่างที่ได้แจ้งไป ณ วันที่บทความนี้ถูกเขียน ปราสาทฮิเมจิซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในภาพนี้คือสภาพตอนกำลังซ่อมอยู่เมื่อประมาณปี 2010
การปิดซ่อมปรับปรุงครั้งล่าสุดเริ่มตั้งแต่ปี 2009 และกลับมาเปิดอีกครั้งในปี 2015 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปิดซ่อมบำรุงป้อมปราการหลัก โดยใช้งบประมาณในการบูรณะ 2,800 ล้านเยน ส่วนหลักๆ ที่ได้รับการซ่อมแซม คือ ในส่วนของหลังคาและส่วนของกำแพง โดยมีการทาปูนขาวใหม่ หากได้ไปดูตอนซ่อมแซมเสร็จใหม่ๆ จะเห็นว่าปราสาทฮิเมจิจะมีสีขาวสว่างแสบตาเลยทีเดียว ซึ่งสีขาวนี้เกิดจากการทางปูนขาวนั่นเอง
การทาปูนขาวนั้นทำมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว แต่สำหรับคนที่สงสัย ที่เราเห็นภาพของปราสาทฮิเมจิเป็นสีดำในอดีตก่อนบูรณะนั้น จริงๆแล้วไม่ใช่สีของอาคารจริงๆ แต่เกิดจากเชื้อรา โดยจริงๆแล้วปราสาทที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่อดีตนั้น มีการตั้งใจให้เป็นสีขาว เพราะฉะนั้นการบูรณะใหม่ให้เป็นสีขาวจึงถูกต้องแล้ว
โดยปกติแล้วหลังจากทาปูนขาวไป 1ปี เชื้อราจะเริ่มก่อตัวขึ้นมา ทำให้ปราสาทดูมีสีดำ แต่ในการซ่อมแซมครั้งนี้ได้มีการทายาป้องกันเชื้อราเอาไว้ด้วย ซึ่งคาดกันว่ากว่าเชื้อราครั้งต่อไปจะขึ้นมาจะใช้เวลามากกว่าเดิม ประมาณ 3-5ปี
ประวัติของปราสาทฮิเมจิ
ปราสาทฮิเมจิถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1346 มีอาณาเขตที่กว้างขวางมากถึง 230,000 ตารางเมตร โดยจุดเด่นภายนอกของปราสาทคือมีสีขาวสะอาด ที่คนญี่ปุ่นเรียกกันอีกชื่อว่า "ปราสาทนกกระสาขาว" หรือฮาคุโระโจ (白鷺城)
ปราสาทแห่งนี้เคยถูกทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ตัวปราสาทแทบจะไม่ได้รับความเสียหายเลย อีกทั้งในปี 1995 แผ่นดินไหวโกเบขนาด 7.3 ในมาตราแมกนิจูดซึ่งเกิดขึ้นในบริเวณทางใต้ของจังหวัด ซึ่งทำให้ตัวเมืองโกเบและเมืองใกล้เคียงเสียหายอย่างมาก แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรปราสาทนี้ได้เช่นกัน ทำให้รูปร่างของปราสาทฮิเมจิที่เราเห็นนี้ เป็นของดั้งเดิม แทบจะไม่ถูกดัดแปลงอะไรเลย
นอกจากนี้ทางเดินภายในปราสาทยังถูกสร้างมาอย่างคดเคี้ยวและสลับซับซ้อน และยังมีกำแพงหินสูงเกือบ 15เมตร เพื่อใช้ในการป้องกันข้าศึกในยุคก่อนหลงเหลืออยู่ในสภาพดี แต่ปราสาทแห่งนี้ก็ไม่เคยถูกโจมตีจากข้าศึกเลยสักครั้ง เรียกว่าเป็นปราสาทแห่งความเงียบสงบและสันติภาพจริงๆ
ในปี 1993 ปราสาทฮิเมจิได้รับการคัดเลือกจากยูเนสโก ให้เป็นมรดกโลกในด้านมรดกทางวัฒนธรรม และเป็นมรดกโลกแห่งแรกของญี่ปุ่นด้วย หลังจากที่ก่อนหน้านั้นในปีได้รับเลือกให้เป็นสมบัติสำคัญทางวัฒนธรรมของประเทศไปแล้ว ถึงแม้จะถูกสร้างมาหลายร้อยปีแล้ว แต่ปราสาทฮิเมจิก็ยังคงได้รับการชื่นชมและรางวัลต่างๆ ทั้งในด้านความงาม ด้านวัฒนธรรม ด้านสถาปัตยกรรม และในด้านการท่องเที่ยวอยู่อย่างต่อเนื่อง
ปราสาทฮิเมจิ อยู่ที่ไหน อยู่เมืองอะไร
ปราสาทฮิเมจิตั้งอยู่ที่จังหวัดเฮียวโงะ (兵庫県) หรือที่คนไทยคุ้นเคยกันในชื่อเมืองโกเบ ซึ่งเป็นชื่อของเมืองใหญ่ที่สุดของจังหวัดเฮียวโงะ แต่ตัวปราสาทตั้งอยู่ที่เมืองฮิเมจิ (姫路市) เมืองชื่อเดียวกับปราสาทซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจังหวัด อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองโกเบ ใกล้กับทะเลฮาริมะนาดะ (播磨灘) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลเซโตะ (瀬戸内海) ทะเลสำคัญของญี่ปุ่นที่อยู่ระหว่างเกาะฮอนชู เกาะชิโกกุ และเกาะคิวชู
ใกล้ๆ กันกับปราสาทจะมีสวนสัตว์เมืองฮิเมจิ (姫路市立動物園) และศาลเจ้าขนาดใหญ่อย่างศาลเจ้าอิตะเตะเฮียวซุ (射楯兵主神社) ให้ได้แวะเวียนไปถ่ายรูปเที่ยวชมได้อีกด้วย ใครที่ไปปราสาทฮิเมจิแล้วอยากไปที่อื่นแถวๆนั้นแถมด้วย จำชื่อนี้ไว้เลย
สำหรับผู้ที่ไปปราสาทฮิเมจิ การเลือกค้างคืนที่โรงแรมในเมืองโกเบนั้นอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะอยู่ไม่ไกล เป็นเมืองใหญ่ที่มีแสงสีและวิวยามค่ำคืนสวยๆให้ดูอีกด้วย
การเดินทางไปปราสาทฮิเมจิ
การเดินทางไปยังปราสาทนั้นเริ่มจากนั่งรถไฟ JR มาลงที่สถานี Himeji (姫路駅) โดยใช้ทางออกทิศเหนือ (北口) เสร็จแล้วเดินมาขึ้นรถบัส Shinki Bus (神姫バス) เพื่อมาลงที่ป้าย Otemon-mae (大手門前) แล้วเดินต่ออีกประมาณ 5นาทีก็ถึงแล้ว
สำหรับใครที่เช่ารถขับเที่ยว ทางปราสาทก็มีจุดจอดรถ คอยอำนวยความสะดวกให้ด้วย สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเวปไซต์ของปราสาท
Himeji Castle Official Website
ปราสาทฮิเมจิในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีและซากุระ
ภายในบริเวณใกล้เคียงของปราสาทมีต้นซากุระมากกว่า 1,000ต้น ที่เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิก็ออกดอกสีชมพูเข้ากันได้ดีกับฉากหลังที่เป็นตัวปราสาทสีขาว และสะพานข้ามสีแดง ซากุระที่ปราสาทแห่งนี้ได้รับการจัดอันดับเป็น 100 ตัวเลือกสถานที่ชมดอกซากุระยอดเยี่ยมของญี่ปุ่นอีกด้วย
โดยปกติซากุระที่นี่จะเริ่มบานในช่วงปลายเดือนมีนาคม และจะบานเต็มที่หลังจากนั้นประมาณ 1สัปดาห์ โดยเราจะสามารถมาชมดอกซากุระก่อนร่วงโรยได้ประมาณ 2-3สัปดาห์หลังจากเริ่มบาน แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ในช่วงกลางวัน ตอนกลางคืนทางปราสาทยังจัดแสดงไลท์อัพท่ามกลางดงต้นซากุระด้วย ขอบอกว่าสวยงามมากเหมือนหลุดไปยังอยู่อีกโลกหนึ่งเลย
ในส่วนของช่วงฤดูใบไม้ร่วง เราก็สามารถไปชมดอกไม้แดงสีสดกันได้ที่โดยรอบบริเวณปราสาท ท้องฟ้าสีฟ้าสดใสในช่วงนี้กับใบไม้สีแดงสลับเหลืองสลับเขียวช่างสวยงามราวกับภาพวาดยังไงยังงั้น ซึ่งแน่นอนตอนกลางคืนในช่วงนี้ก็มีจัดแสดงไลท์อัพด้วยเช่นเดียวกัน
ค่าเข้า เวลาทำการของปราสาทฮิเมจิ
ปราสาทฮิเมจิเป็นสถานที่มีค่าเข้าชม
สำหรับผู้ใหญ่ (อายุ 18ปีขึ้นไป) อยู่ที่ 1,000เยน
เด็ก (ประถมศึกษาถึงมัธยมปลาย) 300เยน
นอกจากนี้หากใครอยากเข้าชมในส่วนของสวนโคโคเอน (好古園) สวนสวยที่อยู่ใกล้ๆกันด้วย
จะมีบัตรเข้าชมเป็นแพ็คเกจขายในราคา 1,040เยนสำหรับผู้ใหญ่ และ 360เยนสำหรับเด็ก
เวลาทำการของปราสาทจะเปิดตั้งแต่ 9.00 น. จนถึง 17.00 น. (ประตูปิด 16.00 น.)
ส่วนในช่วงฤดูร้อน (วันที่ 27 เมษายน ถึง 31 สิงหาคม) จะเลื่อนเวลาปิดเป็น 18.00 น. (ประตูปิด 17.00 น.)
โดยปกติปราสาทฮิเมจิจะปิดไม่ให้เข้าในช่วงสิ้นปี คือ วันที่ 29-30 ธันวาคม ปีละสองวันเท่านั้น
สรุป
อาจจะเพราะการปิดซ่อมที่ใช้เวลานาน ทำให้ในระยะหลายปีที่ผ่านมาชื่อของปราสาทฮิเมจิไม่ได้เป็นที่พูดถึงในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยมากนัก แต่ตอนนี้ปราสาทที่สวยที่สุด ขาวที่สุดที่คนญี่ปุ่นแนะนำว่าควรไปให้ได้สักครั้งนั้น ได้กลับมาเปิดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้เข้าเยี่ยมชมความงามแล้ว (เปิดมาเป็นปีแล้วด้วย)
จากสถานี Sannomiya (三宮駅) สถานีใหญ่ของเมืองโกเบใช้เวลาเดินทางเพียง 1ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้การเดินทางไปพิสูจน์ความใหญ่ ความขาว ความสวยของปราสาทแห่งนี้นั้นง่ายมากๆ อย่างไรก็ตามด้วยความกว้างของพื้นที่เราขอแนะนำให้มาแต่เช้า เพื่อใช้เวลาเดินให้ทั่วๆ จะได้ชมความงามจากหลายๆ ทิศอย่างที่คนญี่ปุ่นเขาแนะนำเอาไว้ และหากใครจะเข้าไปดูภายในอาคารด้วยละก็ ยิ่งต้องเผื่อเวลาให้มากเลยละ