All About Japan

ทริป 6 วันในดินแดนแห่งหมอกและไฟ

อาหาร & เครื่องดื่ม ราเมง ซาชิมิ ผลไม้ ขนมหวาน ศาลเจ้า ออนเซ็น ที่พัก สวน ภูเขา เกาะ การเดินทาง รถไฟ แผนการการเดินทาง ทัวร์ ปลา ซานริโอ้ รู้ลึกเรื่องญี่ปุ่น รีสอร์ท ท่องเที่ยวคิวชู ชีวิตในญี่ปุ่น ครั้งที่สองในญี่ปุ่น Kyushu
ทริป 6 วันในดินแดนแห่งหมอกและไฟ

ธรรมชาติแสนงดงาม อาหารโอชะ และบ่อน้ำพุร้อน! ดินแดนที่มีธรรมชาติอันงดงามแปลกตาหาดูได้ยาก ออนเซ็นทราย ออนเซ็นโคลน และรวมถึงออนเซ็นธรรมดาก็มีให้เลือกหลากหลายที่คิวชู ดินแดนแห่งหมอกและไฟ!

DAY1-2

Day 1

สนามบิน Fukuoka → นั่งรถไฟใต้ดินไปสถานี Hakata (6 นาที) → นั่ง Kagoshima Main Line ไปสถานี JR Mojiko (90 นาที) เดินเล่นบริเวณท่าเรือ Moji → นั่ง Kagoshima Main Line ไปสถานี JR Kokura (12 นาที) → เที่ยวชมบริเวณรอบสถานี Kokura → นั่ง Kagoshima Main Line ไปสถานี Yahata (15 นาที) และไปกับโปรแกรมท่องราตรี Mount Sarakura night tour → พักที่โรงแรมใน Kokura

Tips
• ขอแผนที่และข้อมูลสำหรับการท่องเที่ยวได้ที่สถานี Kokura และ Mojiko
• สามารถแวะลงที่สถานี Kokura ระหว่างทางไปท่าเรือ Moji เพื่อไปเช็คอินก่อนไปเดินเที่ยวต่อได้

1. โมจิโค (Moji Port)

1. โมจิโค (Moji Port)

คิตะคิวชูเป็นรอยต่อระหว่างคิวชูและฮอนชู ในพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลของเมืองนี้ มีสถานที่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น และน่าสนใจอยู่ไม่น้อย

เมื่อนั่งรถไฟไป 15 นาทีจากสถานี Kokura เราก็จะไปถึง โมจิโค (หรือ ท่าเรือโมจิ Moji Port) สถานที่ที่เชื่อมต่อระหว่างญี่ปุ่นกับโลกภายนอกมาตั้งแต่ปี 1889 ในอดีตที่บริเวณนี้มีการส่งออกถ่านหินไปขายต่างประเทศอย่างคึกคัก แม้ว่าจะในปัจจุบันเมืองแห่งนี้จะไม่มีขีวิตชีวาเท่าเมื่อก่อน แต่อาคารบ้านเรือนสไตล์ยุโรปก็ยังก้าวข้ามศตวรรษ อยู่มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งอาคารสไตล์นี้จะไม่ค่อยพบเห็นในภูมิภาคอื่นของญี่ปุ่นเท่าใดนัก

สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญส่วนใหญ่อยู่ไม่ห่างจากสถานี และสามารถเดินไปได้ ใกล้สถานีจะมี อดีตอาคารศุลกากรโมจิ (Old Moji Customs Building) อดีตอาคารคลับเฮาส์โมจิมิตซุย (Old Moji Mitsui Club) และอาคารเก่าแก่อื่นๆ ที่สามารถเดินดูตามอัธยาศัย ในช่วงสุดสัปดาห์ของฤดูใบไม่ผลิและฤดูใบไม้ร่วง คุณสามารถเช่ากิโมโน ได้ในราคาเพียง 1,000 เยนที่อดีตอาคารศุลกากรโมจิ

1. สถานีโมจิโค (Mojiko Station)
ก่อสร้างในปี 1914 สถาปัตยกรรมแบบคลาสสิคและยังเป็นสัญลักษณ์ของการท่องเที่ยวประจำภูมิภาค อาคารแห่งนี้ถูกกำหนดให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ปัจจุบันอยู่ในช่วงบูรณะใหม่ ซึ่งจะเสร็จในปี 2018 แต่ในส่วนของชานชาลาและห้องขายตั๋วนั้นยังคงสภาพไว้เช่นเดิม

2.พิพิธภัณฑ์ช่องแคบคันมอน (Kanmon Strait Museum) (หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Kaikyo Dramaship)
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะโฟกัสไปในเรื่องของธรรมชาติและประวัติศาสตร์ของช่องแคบคันมอน ช่องแคบที่อยู่ระหว่างเกาะคิวชูและฮอนชู ที่นี่คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์เดินเล่นในถนนในสมัยไทโช (Taisho Period) ที่ชั้นล่าง และยังสามารถซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปดูสิ่งวัตถุโบราณที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ จอฉายภาพพร้อมเสียงอธิบาย รวมถึงการจำลองการแล่นเรือได้ที่ชั้น 4

3. อาทิตย์อัสดงที่โมจิโค
ชมพระอาทิตย์ตกทางตะวันตกของช่องแคบคันมอน และชื่นชมท้องฟ้าสีแดงที่พาดผ่านเมืองโบราณ โมจิโคเป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกยอดนิยม มีการจัดการประกวดภาพถ่ายพระอาทิตย์ตกดิน เป็นประจำทุกฤดูใบไม้ร่วง

- www.en.mojiko.info (อังกฤษ)

2. บริเวณสถานีโคคุระ (Kokura Station)

2. บริเวณสถานีโคคุระ (Kokura Station)

https://www.gururich-kitaq.com/en/download/joukamachi/

นั่งชินคันเซ็น Tokaido-Sanyo จาก Hakata เพียงไม่ถึง 20 นาที คุณก็จะมาถึงสถานีเป้าหมายในครั้งนี้ หรือก็คือสถานีโคคุระ (Kokura Station)

โคคุระเป็นศูนย์กลางด้านการค้า และความบันเทิงของคิตะคิวชู และเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การพักแรม บริเวณสถานีโคคุระตะมีแหล่งช็อปปิ้งที่รวบรวมสินค้ามากมายมาไว้ที่เดียวกัน ในช่วงกลางคืนคุณสามารถจิบไวน์ไปพลางชิมอาหารท้องถิ่นไปพลาง รวมถึงเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของย่านนี้

1. ถนนอุโอมาจิกินเทนไก (Uomachi Gintengai)
ถนนอุโอมาจิกินเทนไก อยู่ที่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสถานีโคคุระ ยาวไปถึงตลาดทังกะ (Tanga Market) โดยมีความยาวรวมกว่า 400 เมตร ตลาดทังกะถูกเรียกว่า ''ครัวของคิตะคิวชู'' และแม้ว่าคุณจะไม่ได้ต้องการซื้อของ แต่ก็สามารถแวะไปเพื่อลิ้มลองอาหารรสเลิศได้


2. เมืองแห่งร้านแผงลอยในคิตะคิวชู : ย่านโคคุระ 13
คุณสามารถสั่งอาหารจานโปรดได้ที่ร้านแผงลอยทั้ง 13 ร้าน ที่ย่านแห่งนี้ ลิ้มลองอาหารท้องถิ่น สาเก และพูดคุยกับคนในท้องถิ่น ไม่ต้องกลัวเรื่องกำแพงภาษา ขอแค่ใช้ภาษากายก็สามารถสื่อสารได้เช่นกัน การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมก็เป็นหนึ่งในความสนุกสนานของการเดินทางนะ! (จากสถานีโคคุระเดินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ 2 นาที)


3. ปราสาทโคคุระ (Kokura Castle)
ปราสาทโคคุระตั้งอยู่อีกฟากของแม่น้ำ ทางตะวันตกของย่านการค้าของเมือง นอกจากปราสาทแล้วยังสามารถแวะไปศาลเจ้ายาซากะที่อยู่ติดกันได้ และหากมีเวลาเหลืออย่าลืมไปนั่งรถลากเพื่อเที่ยวชมบริเวณรอบๆด้วยล่ะ

- www.japanvisitor.com (อังกฤษ)

3. ภูเขาซาราคุระ

3. ภูเขาซาราคุระ

ไฟถนนที่ผสมผสานกับแสงไฟของโรงงานและแสงไฟจากเกาะฮอนชูที่พาดผ่านมาทางช่องแคบคันมอน ทำให้บรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองโคคุระเป็นหนึ่งในทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่ยอดเยี่ยมที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นทิวทัศน์นี้ยังถูกเลือกให้เป็นหนึ่งใน"3 ทิวทัศน์ยามค่ำคืนอันใหม่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของญี่ปุ่น" ประจำปี 2003 อีกด้วย

ขึ้นแท็กซึ่จากทางทิศใต้ของสถานี JR Yahata มุ่งหน้าไปรถเคเบิ้ลคาร์ซาราคุระยามะ (Sarakurayama Cable Car station) (ใช้เวลาประมาณ 10 นาที) และนั่งเคเบิ้ลคาร์ขึ้นไปสู่ยอดเขา ตั๋วไปกลับยอดเขาที่รวมค่าเคเบิ้ลคาร์ และรถรางซาราคุระยามะ ราคา 1,200 เยน

- www.city.kitakyushu.lg.jp (อังกฤษ)

เมนูแนะนำ (คิตะคิวชู)

เมนูแนะนำ (คิตะคิวชู)

แกงกะหรี่บาร์บีคิว
ข้าว หรือข้าวผัดเนยที่ราดด้ายแกงกะหรี่แสนอร่อย ท็อปปิ้งด้วยชีส เมื่อนำไปอบในเตาอบก็จะออกมาเป็นแกงกะหรี่อบสี่ทองงดงามน่ารับประทาน เมนูแกงกะหรี่บาร์บีคิวถือเป็นเมนูเด็ดของโมจิโคก็ว่าได้ คุณสามารถหาเมนูนี้ได้ในร้านอาหารแทบทุกร้านในบริเวณนี้

เมนูปลาปักเป้า
คิตะคิวชูเป็นเมืองที่ถูกล้อมรอบด้วยช่องแคบและคลึ่นสมุทร จึงไม่น่าแปลกใจที่ขึ้นชื่อในเรื่องของอาหารทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 'ฟุกุ' หรือเมนูปลาปักเป้า หากแวะมาที่นี่ไม่ควรพลาดเมนูปลาปักเป้าด้วยประการทั้งปวง! และหากจะแวะไปละก็เราขอแนะนำร้าน ไคเคียวฟุกุสเตจ(Kaikyo Fuku Stage) ตัวร้านตั้งอยู่ใกล้ๆพิพิธภัณฑ์ช่องแคบคันมอนในโมจิโค ที่ร้านนี้คุณสามารถนั่งรับประทานเมนูปลากปักเป้าไปพร้อมๆกับชมเรือที่ล่องผ่านหายไปในอาทิตย์อัสดง

ที่อยู่: 1-3-3 Nishikaigan, Moji-ku, Kitakyushu City, Fukuoka Prefecture
การเดินทาง: เดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 9 นาทีจากสถานี Mojiko

Day 2

จากสถานี JR Kokura → นั่ง Limited Express Sonic ไปสถานี JR Beppu (70 นาที) → นั่ง Nippo Main Line ไปสถานี Hiji (15 นาที) → นั่งรถบัสไปสวนสนุกซานริโอ (12 นาที) → นั่งรถบัสกลับไปที่สถานี Hiji → นั่ง Nippo Main Line ไปสถานี Kamegawa (10 นาที) → นั่งรถบัสหรือแท็กซี่ไป Chinoike Jigoku (7 นาทีหรือเดิน 20 นาที) and explore the "บ่อนรกทั้ง 8" → นั่งรถบัสจาก Umi Jigoku ไปสถานี Beppu (20 นาที) → พักที่เมืองออนเซ็นเบปปุ

Tip
• ก่อนไปสวนสนุกซานริโอ สามารถแวะเอาสัมภาระไปฝากที่โรงแรมในเบปปุก่อนได้

4. สวนสนุกซานริโอ (Sanrio Character Park Harmonyland)

4. สวนสนุกซานริโอ (Sanrio Character Park Harmonyland)

สวนสนุกซานริโอเป็นธีมปาร์คกลางแจ้งที่คุณจะได้พบกับตัวการ์ตูนจากเครือซานริโออย่าง คิตตี้ ซินนาม่อนโรล มายเมโลดี้ และตัวละครอื่นๆอีกมากมาย ปราสาทคิตตี้ที่แสนจะอบอุ่นและเป็นกันเอง พาเหรดน่ารักๆที่เปลี่ยนตามฤดูกาล โชว์แสนสนุก และกิจกรรมสนุกอีกมากมายที่เหมาะสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ รอคุณอยู่ที่นี่!

- www.harmonyland.jp (อังกฤษ)

5. บ่อนรกทั้ง 8 ของเบปปุ

5. บ่อนรกทั้ง 8 ของเบปปุ

บ่อน้ำพุร้อนในเบปปุไม่ได้เหมาะสำหรับแช่เท่านั้น ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เดินชมได้เพลินตา นอกจากออนเซ็นที่คุณสามารถลงไปแช่ได้เลว ที่เบปปุยังมีบ่อน้ำพุร้อนชื่อดังทั้ง 8 บ่อหรือที่รู้จักในชื่อ "บ่อนรกทั้ง 8" มีจุดขายคือน้ำพุร้อน (เย็นสุดที่ 78 องศา) ซึ่งมีทั้งสีสันและลักษณะต่างกันออกไป ตั้งแต่โคลนสีน้ำตาลไปจนถึงสีแดง และฟ้าสว่าง

หินและดินในบริเวณที่มีน้ำพุร้อนปะทุขึ้นมามีแร่ธาตุหลายชนิด ทำให้เกิดสีที่หลากหลายตามไปด้วย โดยบ่อนรกที่ใหญ่ที่สุดคือ อุมิจิโกขุ (บ่อทะเลนรก) มีสีฟ้าโคบอล์ทสุดงดงาม และมีอุณหภูมิอยู่ที่ 98 องศา ว่ากันว่าที่บ่อนี้มีความลึกกว่า 200 เมตร

คุณสามารถหยิบแผนที่"ทัวร์บ่อนรก" ได้ฟรีที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวทั่วไป

บ่อสระโลหิตนรก (จิโนะอิเกะ จิโกขุ) เป็นบ่อนรกที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาแปดบ่อ มีชื่อเสียงในเรื่องของน้ำพุร้อนสีแดง รวมถึงไอน้ำที่มีสีแดงเช่นกัน ซึ่งเป็นผลมาจากโคลนในบริเวณนั้นที่มีส่วนผสมของแร่ธาตุเหล็กและแม็กนีเซียม โคลนดังกล่าวยังใช้เป็นส่วนผสมของขี้ผึ้งที่มีคุณสมบัติช่วยรักษาโรคผิวหนังอีกด้วย

- www.chinoike.com (อังกฤษ)

6. ออนเซ็นเบปปุ

6. ออนเซ็นเบปปุ

ปริมาณน้ำพุร้อนรายวันของออนเซ็นในเบปปุสามารถให้ชาวญี่ปุ่น 130 ล้านคนใช้คนละเกือบลิตรต่อวันได้ ในแง่ของปริมาณน้ำแล้วที่นี่เป็นรองแค่ อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนในสหรัฐเท่านั้น ที่นี่ไม่เพียงโดดเด่นในเรื่องของปริมาณน้ำเท่านั้น ยังมีความโดดเด่นในเรื่องของคุณสมบัติของน้ำพุร้อนด้วย นักท่องเที่ยวสามารถเลือกสัมผัสประสบการณ์แบบที่ตัวเองชอบได้

เบปปุขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่โดดเด่นในเรื่องน้ำพุร้อนเป็นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น น้ำพุร้อนของที่นี่มีชื่อเล่นว่า "เบปปุฮัตโต" หรือที่คนไทยเราเรียกกันว่า ''บ่อนรกทั้ง 8 ของเบปปุ'' ซึ่งหมายถึงบ่อน้ำพุร้อนใน 8 บริเวณอันได้แก่ : เบปปุ ฮามะวากิ คังไคจิ โฮริตะ ชิบะเซกิ เมียวบัน คาเมกาวะ และคันนาวะ โดยน้ำพุร้อนของแต่ละที่ก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป คุณสามารถเดินจากบ่อน้ำพุร้อนที่อยู่กลางเมือง ไปยังบ่อน้ำพุร้อนที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติได้ไม่ยากนักอีกแห่งได้ นอกจากนั้นที่นี่ยังมีบ่อโคลน ที่สามารถเข้าได้ทั้งชายและหญิงอีกด้วย

ออนเซ็นที่เบปปุมีน้ำพุร้อนทั้งหมด 10 จาก 11 ประเภทที่ค้นพบทั่วโลก ขาดเพียงแค่บ่อกัมมันตรังสีเท่านั้น และนอกจากบ่อน้ำพุร้อยแล้ว เมนูอาหารจากบ่อน้ำพุร้อนก็ยังน่าลิ้มลองอีกด้วย

หอชมวิวยูเคะมุริ วิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเบปปุถูกจัดให้อยู่ใน 100 อันดับทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่งดงามที่สุดของญี่ปุ่น และจากหอชมวิวแห่งนี่คุณสามารถชมทิวทัศน์อันงดงามในเบปปุทั้งกลางวันและกลางคืน กลุ่มก้อนไอสีขาวที่เกิดจากที่น้ำพุร้อนอุณหภูมิสูงสัมผัสกับอากาศ

เมนูแนะนำ (โออิตะ)

เมนูแนะนำ (โออิตะ)

http://www.visit-oita.jp/libraries/

เซคิอาจิ & เซคิซาบะ
เมืองซากะโนะเซคิตั้งอยู่ทางชายทะเลฝั่งตะวันออกของเบปปุ ขึ้นชื่อในเรื่องของอาหารเมนูปลาสองอย่างคือ เซคิอาจิ และ เซคิซาบะ ร้านอาหารหลายร้านในเบปปุจะมีเมนูซาชิมิ เซคิอาจิ และ เซคิซาบะ ที่จะอร่อยยิ่งขึ้นเป็นพิเศษเมื่อแต่งรสชาติด้วย คาโบสุ (ผลไม้ตระกูลส้มสีเขียว ของดีของจังหวัดโออิตะ) เซคิอาจิจะมีให้จับในทะเลช่วงมีนาถึงตุลา ส่วนเซคิซาบะจะมีในช่วงกันยาถึงธันวา

เมนูของต้มจากนรก
"เมนูของต้มจากนรก" เป็นเมนูที่เกิดจากการนำวัตถุดิบต่างๆไม่ว่าจะเป็นผัก ปลา ไปต้มในบ่อน้ำพุร้อนที่เดือดสุดๆ วิธีการปรุงอาหารแบบนี้นอกจากจะช่วยประหยัดพลังงานแล้ว ยังทำให้ดึงรสชาติที่แท้จริงของวัตถุดิบออกมา รสชาติอร่อย รวมถึงดีต่อสุขภาพด้วย คุณสามารถทดลองต้มกินเองได้ แต่ต้องซื้อวัตถุดิบมาต้มต่างหากนะ ถ้าไม่อยากรอก็สามารถซื้ออาหารที่ปรุงสำเร็จแล้วอย่างมันต้ม ไข่ต้ม อาหารทะเล และอื่นๆได้เลย!

โทริเทน
โทริเทน เป็นไก่ชุบแป้งเทมปุระทอด อาหารยอดนิยมของเมืองโออิตะที่คิดค้นโดยร้านอาหารท้องถิ่นในปี โดยทั่วไปจะกินกับมัสตาร์ และซอสพอนสึ

know-before-you-go