ไปญี่ปุ่น นั่งรถไฟหรือเช่ารถขับดี
หน้าสอง การเช่ารถ
เที่ยวแบบไหนกับใครควรเช่ารถ
เที่ยวแบบครอบครัว หรือเที่ยวมากกว่า 3 คนขึ้นไป: ข้อพิจารณาแรกๆ ในการเช่ารถคือเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งค่าเช่ารถเล็กที่สุดนั้นอยู่ที่วันละ 1,800 – 3,000 บาท (แต่ยังไม่รวมค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน และค่าที่จอดรถที่รวมๆ แล้วอีกไม่ต่ำกว่าวันละพันบาท) เมื่อรวมแล้วอาจจะแพงกว่าการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ดังนั้นหากมองเรื่องของความคุ้มค่าเป็นอันดับแรกๆ การเช่ารถให้คุ้มจึงต้องมีคนหารค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 3 คนขึ้นไป
เที่ยวแบบช่างภาพ คนทำเพจท่องเที่ยว บล็อกเกอร์ และ Vlog: สำหรับใครที่อยากได้ภาพสวยๆ อยากแวะชมสถานที่หรือเปิดมุมใหม่ๆ และสัมผัสบรรยากาศที่แตกต่างในการท่องเที่ยวเพื่อนำเนื้อหามาบอกเล่าบนโลกออนไลน์ จอดถ่ายรูปได้เท่าที่ต้องการ การเช่ารถขับถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยสร้างโอกาสที่จะได้พบกับความแปลกใหม่เหล่านี้ได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถไปที่ๆรถไฟเข้าไม่ถึงได้สะดวกกว่า
เที่ยวพื้นที่ชนบทหรือพื้นที่ธรรมชาติในญี่ปุ่น: เราไม่จำเป็นต้องเช่ารถขับตลอดทั้งทริปเสมอไป อาจเช่าเฉพาะวันที่จำเป็นเพียง 1 หรือ 2 วันก็ได้ โดยเฉพาะสำหรับใครที่มีแผนเดินทางไปยังพื้นที่ชนบทหรือพื้นที่ธรรมชาติของญี่ปุ่น ที่อาจเข้าถึงด้วยรถสาธารณะได้ลำบาก การเช่ารถอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งทำให้ไม่ต้องกังวลกับเรื่องรอบรถที่อาจหมดเร็ว และยังได้สัมผัสบรรยากาศที่น่าประทับใจรายทางได้ตามที่ต้องการ
อยากลองขับรถรุ่นแปลกๆ ที่ไม่มีในประเทศไทย: เหตุผลในการเช่ารถขับในญี่ปุ่นอาจไม่ได้มีแค่เรื่องของความสะดวกสบายหรือจุดหมายปลายทางเท่านั้น เพราะในญี่ปุ่นนั้นมีรถรุ่นแปลกๆให้เช่าด้วย เช่นรถกระป๋องทรงสี่เหลี่ยมน่ารักๆ รถทรงสปอร์ตเท่ๆของญี่ปุ่น และรถซูเปอร์คาร์ต่างประเทศอย่าง Ferrari หรือ Ducati ที่หลายคนไม่ซื้่อแต่อยากมีโอกาสลองขับหรือนั่งดูสักครั้งในชีวิต ก็มีให้เช่าเช่นกัน
สิ่งที่จำเป็นในการเช่ารถ
รู้จักเว็บเช่ารถต่างๆ ของญี่ปุ่น: นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะจองรถเช่าเอาไว้ล่วงหน้าจากเว็บไซต์ต่างๆ และไปรับรถที่สนามบินหรือจุดต่างๆ ที่นัดหมายกับบริษัทเช่าเอาไว้ ซึ่งเว็บเช่ารถนั้นมีให้เลือกมากมายโดยจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ๆ หนึ่งคือเว็บเช่าของรถยี่ห้อนั้นๆเองเช่นเว็บของ Toyota, Nissan สองคือเว็บเช่ารถทั่วโลกเช่น Avis, Kayak และสามคือเว็บเช่ารถของบริษัทญี่ปุ่นเช่น tocoo ซึ่งสามารถเปรียบเทียบราคาและเลือกรุ่นของรถของแต่ละเว็บได้ตามต้องการ
รู้ขั้นตอนการจองรถ: อาจแตกต่างกันไปแต่ละบริษัท แต่ขั้นตอนคร่าวๆคือระบุวันเวลาที่ต้องการเช่ารถ เลือกสถานที่รับรถ เลือกรุ่นรถที่ต้องการ ตรวจสอบราคาและกรอกข้อมูลผู้เช่าเป็นต้น หลายเว็บอาจต้องใช้บัตรเครดิตเพื่อมัดจำการจอง เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงเดินทางไปรับรถในวันและเวลาที่ทำการจองไว้
ใบขับขี่สากล: การเช่ารถที่ญี่ปุ่นจำเป็นต้องทำใบขับขี่สากลจากประเทศไทยไปล่วงหน้า ซึ่งสามารถทำได้ที่สำนักงานขนส่งทุกจังหวัด สิ่งที่ต้องใช้คือ 1. สำเนาหนังสือเดินทาง 2.บัตรประชาชนฉบับจริง 3.สำเนาใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล(ชนิด 5 ปี)หรือตลอดชีพ และค่าธรรมเนียม 505 บาท
รู้กฎจราจรของญี่ปุ่น: เช่นความเร็วที่จำกัดตามกฎหมายคือ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบนถนนทั่วไปและ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบนทางด่วน เวลาขับต้องขับทางด้านซ้ายของถนน ห้ามเล่นโทรศัพท์มือถือและห้ามขับรถขณะเมาสุราเด็ดขาด เป็นต้น
รู้ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในการเช่าและค่าใช้จ่ายยิบย่อย: ค่าเช่ารถในญี่ปุ่นส่วนใหญ่เริ่มต้นที่วันละ 6,000 -10,000 เยน (1,800 – 3,000 บาท) อาจแตกต่างกันไปตามรุ่น ขนาด และยี่ห้อของรถ หรือโปรโมชั่นของแต่ละบริษัท นอกจากนี้ยังมีค่าทางด่วน ค่าที่จอดรถ ค่าน้ำมัน และค่าส่วนต่างของจุดคืนรถ เช่นนัดรับรถที่สนามบินนาริตะ แต่คืนรถที่ชิบูย่า ก็อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท
ข้อดีและข้อเสียของการเช่ารถ
ข้อดี
- ได้เจอบรรยากาศใหม่ๆ นอกเหนือจากการนั่งรถไฟ
- แวะจอดถ่ายรูป ชมวิว หรือแวะร้านข้างทางตรงไหนก็ได้ตามที่ต้องการ
- เหมาะสำหรับคนที่มีสัมภาระเยอะ หรือมีกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ สามารถใส่ไว้ท้ายรถโดยที่ไม่ต้องลากหรือยกไปไหนมาไหน
- ไม่ต้องกังวลเรื่องรอบรถไฟหรือรถบัส สามารถเดินทางไปที่ไหน เมื่อไรก็ได้
- เหมาะสำหรับคนที่เดินทางพร้อมเด็กเล็ก หรือคนชรา เพราะการขึ้นรถไฟในญี่ปุ่นหลายครั้งต้องเจอกับบรรยากาศที่เร่งรีบ หรือบรรยากาศที่ต้องรักษาความเงียบเอาไว้เสมอ
ข้อเสีย
- มีค่าใช้จ่ายสูง และค่าใช้จ่ายยิบย่อยอีกมากโดยเฉพาะค่าที่จอดรถ ซึ่งบางครั้งที่พักก็เก็บเพิ่ม ที่จอดรถหลายแห่งก็มีเรทราคาไม่เท่ากัน และส่วนใหญ่มีแต่ภาษาญี่ปุ่น จึงอาจเกิดความเข้าใจผิดจนต้องเสียค่าที่จอดราคาแพง
- กฎจราจรของญี่ปุ่นค่อนข้างเข้มงวด ไม่ว่าจะเรื่องความเร็ว หรือจุดจอดรถ สำหรับคนที่ศึกษากฎจราจรญี่ปุ่นมาไม่ดีพอ หรือเผลอขับรถแบบในประเทศไทย มีโอกาสสูงที่จะโดนใบสั่งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ
- อาจต้องเจอกับสภาวะในการขับรถที่คนไทยไม่คุ้นชิน โดยเฉพาะการขับรถบนหิมะ ซึ่งมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุค่อนข้างสูงหากไม่ชำนาญ
- ระบบนำทาง (GPS) ภายในรถเช่าส่วนใหญ่ยังมีแต่ภาษาญี่ปุ่น จึงอาจต้องใช้ Google Map หรือตัวช่วยอื่นๆ ในการเดินทางแทน
- คนขับต้องมีร่างกายที่พร้อม และการขับรถในสภาวะที่ไม่คุ้นอาจจะเหนื่อยเป็นพิเศษ
บริเวณไหนที่ควรเช่ารถ
รอบภูเขาไฟฟูจิ: เป็นตัวเลือกแนะนำสำหรับใครที่เดินทางไปแถบโตเกียวแล้วต้องการเช่ารถ แม้จะใกล้โตเกียวและไม่ได้ห่างไกลความเจริญ แต่เนื่องจากพื้นที่รอบภูเขาไฟฟูจิโดยเฉพาะบริเวณทะเลสาบทั้ง 5 แห่งนั้นมีระบบขนส่งสาธารณะค่อนข้างน้อย การเช่ารถขับเองนอกจากจะสะดวกสบายกว่าแล้วยังสามารถแวะชมวิวภูเขาไฟฟูจิสวยๆ ระหว่างทางได้มากกว่าคนอื่นที่นั่งรถไฟหรือรถบัสอีกด้วย
ฮอกไกโด: แม้ว่าในภูมิภาคฮอกไกโดจะมีเส้นทางรถไฟไปยังเมืองต่างๆอยู่แล้ว แต่ที่เที่ยวแนวธรรมชาติเช่นภูเขา ลานสกี ทะเลสาบหรือทุ่งดอกไม้นั้นมักจะต้องต่อรถบัสจากสถานีรถไฟเข้าไปเสมอ ซึ่งรอบรถบัสนั้นมีไม่เยอะ เมื่อบวกกับชื่อเสียงเรื่องความสวยงามของธรรมชาติของฮอกไกโดแล้ว นักท่องเที่ยวหลายคนจึงเลือกเช่ารถขับอย่างไม่ต้องลังเล และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือรถบัสหลายเส้นทางมักจะงดให้บริการในช่วงฤดูหนาวนั่นเอง (แต่ทั้งนี้เราไม่แนะนำให้ขับรถในฤดูหนาวหากไม่มั่นใจในฝีมือ)
หมู่บ้านชิราคาวาโกะและพื้นที่รอบๆ: ที่เที่ยวยอดฮิตที่มักจะอยู่ในแผนการเดินทางอันดับต้นๆของคนที่เดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น แต่หากเดินทางตามปกติจะต้องต่อรถไฟอย่างน้อยสองต่อบวกกับต่อรถบัสเข้าไปที่หมู่บ้าน ซึ่งหากเป็นฤดูท่องเที่ยวรถบัสอาจจะถูกจองจนเต็มล่วงหน้าหลายวันหลายคนจึงเลือกที่จะเช่ารถขับไปที่หมู่บ้านแทน ซึ่งนอกจากจะได้เที่ยวหมู่บ้านชิราคาวะโกะแล้ว ในบริเวณรอบๆยังเป็นเทือกเขาเจแปนแอลป์ เทือกเขาที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น การขับรถไปเองจึงสามารถแวะชมวิวภูเขาหิมะตลอดเส้นทางได้อย่างเต็มตา
โอกินาว่า: การเดินทางบนเกาะโอกินาว่าในปัจจุบันนั้นยังใช้รถบัสเป็นส่วนใหญ่ และที่เที่ยวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชายหาดหรือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำนั้นก็กระจายตัวอยู่รอบเกาะ หากเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งจะใช้เวลาค่อนข้างนาน บางครั้งก็ต้องเสียเวลาเปลี่ยนสายรถบัสระหว่างทาง การเช่ารถขับจึงเป็นตัวเลือกยอดนิยมของคนที่เดินทางไปโอกินาว่า และเพียงแค่จินตนาการถึงการขับรถกินลมโดยมีวิวชายหาด ท้องทะเล และฟ้าใสๆ อยู่ระหว่างทาง ก็ทำให้หลายคนตัดสินใจได้ไม่ยากเลย
ผู้เขียน: ชินพงศ์ มุ่งศิริ
เริ่มต้นทำงานเป็นช่างภาพอิสระหลังเรียนจบ เดินทางไปถ่ายภาพที่ประเทศญี่ปุ่นบ่อยครั้งจนครบทั้ง 4 ฤดูอันสวยงาม และเกือบครบทุกภูมิภาค มีผลงานภาพถ่ายตีพิมพ์ในไกด์บุ๊คระดับโลกอย่าง Lonely Planet ถึง 3 เล่ม คือ Discovery Japan, Japan และ Kyoto รวมถึงเว็บไซต์ท่องเที่ยวชั้นนำอย่าง National Geographic Traveler UK, BBC Travel, Travel+Leisure, TIME และอีกมาก
นอกจากการถ่ายทอดความสวยงามของประเทศญี่ปุ่นผ่านภาพถ่าย ปัจจุบันยังหันมาถ่ายทอดเรื่องราวผ่านทางตัวอักษรทั้งในฐานะนักเขียนและนักแปลควบคู่กันไปอีกด้วย