เป็นหนึ่งในทะเลสาบทั้งห้าแห่งภูเขาไฟฟูจิเหมือนกับทะเลสาบคาวากุจิโกะที่ดังกว่า แต่ข้อดีคือคนน้อยกว่ามากและวิวที่ได้จะไม่โหลเหมือนกับวิวจากคาวากุจิโกะ โดยที่โมโตสุโกะเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุด (121.6 เมตร) และน้ำใสที่สุดในบรรดาทั้งหาแห่ง ตั้งอยู่บนความสูง 900 เมตรจากระดับน้ำทะเล ที่นี่คือสถานที่เที่ยวที่เป็นแรงบันดาลใจของศิลปินและช่างภาพจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นภาพที่นำมาใช้เป็นต้นแบบในการออกแบบธนบัตรพันเยนในปัจจุบัน (และธนบัตรห้าพันเยนแบบเก่า)

สามารถเดินทางมาเที่ยวได้ทั้งปีแต่ในเดือนมิถุนายนจะยังเห็นหิมะอยู่บนยอดฟูจิบ้าง และก็มีกิจกรรมเอาท์ดอร์ที่ได้รับความนิยมมากเช่นเดินป่า ตั้งแคมป์ไฟ พายเรือ ตลอดจนกิจกรรมล่องเรือท้องกระจกชมวิวใต้น้ำด้วยเรือ Yuransen Moguran เพื่อชมฝูงปลาในทะเลสาบ และแน่นอนว่าที่นี่คือจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่ชัดเจนและสวยงามที่สุดจุดหนึ่ง

การเดินทาง : จากสถานี Kawaguchiko ขึ้นรถประจำทาง Retro Bus ไปลงที่ป้าย Lake Motosuko bus stop

ศาลเจ้าดาไซฟุไม่เพียงแค่เป็นศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์และจุดเสริมดวงในเรื่องการเรียนการสอบเท่านั้น แต่ในช่วงเดือนมิถุนายนยังจะได้พบกับเทศกาลชมดอกไอริส ทั้งสีม่วงและสีขาวหลากหลายสายพันธุ์ผลิบานเต็มที่อย่างสวยงามนับพันต้นและยังมีดอกไฮเดรนเยียมาช่วยเพิ่มสีสันด้วย โดยช่วงเวลาที่เหมาะจะเดินทางไปชมมากที่สุดคือช่วงต้น-กลางเดือนมิถุนายน อีกทั้งช่วงสุดสัปดาห์ในเดือนนี้ก็จะจัดงานแสดงดนตรีและงานประดับไฟ เพิ่มสีสันยามค่ำคืนด้วย

นอกจากนี้ก็มีสิ่งที่น่าสนใจอื่นก็มีให้ได้ชมตลอดปีด้วย เช่น อาคารศาลเจ้าหลักที่มีสถาปัตยกรรมสวยงาม รูปปั้นวัวโกชิงกิว (Goshingyu) ที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าถ้าได้ลูบหัวแล้วจะช่วยให้มีสติปัญญาดี ทางเดินเข้าสู่ศาลเจ้าก็มีร้านขายของที่ระลึกและร้านน้ำชาตั้งอยู่มากมาย รวมถึงเครื่องรางนำโชคเกี่ยวกับสติปัญญาและความสำเร็จในการเรียนการสอบที่ได้รับความนิยมมาก

การเดินทาง : จากใจกลางฟุกุโอกะขึ้นรถไฟของ Nishitetsu ไปลงที่สถานี Dazaifu แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
เวลาทำการ : 06.00-19.00 น.
ค่าเข้าชม : ฟรี

วัดยามาเดระหรืออีกชื่อหนึ่งว่าวัดริชชะคุจิ (Risshaku-ji) อาณาเขตของวัดตั้งอยู่บนภูเขาสูงซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม และในหน้าร้อนช่วงเดือนมิถุนายนก็เป็นช่วงที่ภูเขาจะผลิใบสีเขียวเข้มน่าถ่ายรูป บรรยากาศค่อนข้างสงบผู้คนไม่วุ่นวาย สามารถใช้เวลาเที่ยวชมทุกพื้นที่ของวัดรวมทั้งรอบๆบริเวณได้อย่างเพลิดเพลิน

เนื่องจากพื้นที่มีขนาดใหญ่แบ่งออกเป็นหลายโซน เป็นสถานที่ๆ มีทั้งสถาปัตยกรรมของศาลเจ้าเก่าแก่ทรงคุณค่า โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติของทิวเขากับผืนป่าอุดมสมบูรณ์ ที่สำคัญอีกอย่างคือการจะขึ้นไปชมอาคารหลักของวัดและจุดชมวิวด้านบนต้องขึ้นบันไดไปถึง 1,015 ขั้น ซึ่งทิวทัศน์ที่จะได้เห็นต้องบอกว่าคุ้มค่าและไม่มีวันลืมแน่นอน นอกจากนี้ที่จังหวัดยามากาตะยังเป็นแหล่งปลูกเชอรี่ญี่ปุ่นอันดับ 1 ซึ่งมีให้ได้ลองชิมกันในช่วงนี้พอดี ที่หากมาถึงแล้วไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

การเดินทาง : ขึ้นรถไฟสาย JR Senzan Line ไปลงที่สถานี Yamadera แล้วเดินอีก 5 นาที
เวลาทำการ : 08.00-17.00 น.
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 300 เยน, เด็ก 200 เยน

น้ำตกนาชิ (Nachi Falls) ตั้งอยู่ในเมืองนาชิคัตซึอุระ (Nachi-Katsuura) จังหวัดวากายะมะ (Wakayama) ซึ่งเป็นดินแดนแห่งมรดกโลกเส้นทางคุมาโนะโคะโด (Kumano Kodo) และน้ำตกนาชิก็เปรียบเหมือนสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของเมืองนี้กับความสูง 133 เมตร ของน้ำตกที่ตกลงมาจากกลางป่าทึบไหลต่อเนื่องชั้นเดียวพาเอาละอองที่ล่องลอยอยู่ทั่วบริเวณ ทำให้รู้สึกเย็นสบายแม้ในช่วงกลางฤดูร้อน

เมื่อมองขึ้นไปจากศาลเจ้าฮิโร (Hiro Shrine) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณฐานน้ำตกว่ากันว่าจะทำให้รู้สึกสดชื่นราวกับน้ำตกได้ชำระล้างจิตใจให้สะอาดไปด้วย น้ำที่ไหลตกลงมานี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นยาอายุวัฒนะ” สามารถดื่มได้จริง ใกล้กับน้ำตกก็เป็นที่ตั้งของวัดเซกันโทจิ (Seiganto-ji Temple) ที่งดงามโดดเด่นด้วยเจดีย์สามชั้นสีแดง

การเดินทาง : จากสถานี Kiikatsuura ต่อรถบัส Kumano Kotsu Bus ไปลงที่ป้าย Nachi no Taki-Me ใช้เวลา 30 นาที แล้วเดินต่อ 5 นาที

ที่เมืองโมริโอกะ (Morioka) และทากิซาวะ (Takizawa) จังหวัดอิวาเตะ ในเดือนมิถุนายนของทุกปีจะมีการจัดงานเทศกาลเก่าแก่ที่เป็นงานประเพณีต่อเนื่องกันมากว่า 200 ปี ชื่อว่าเทศกาลชะกุ-ชะกุ อุมักโกะ หรือเทศกาลม้า เพื่อเป็นการขอบคุณม้าที่ขาดไม่ได้ในการทำฟาร์มมาแต่โบราณ โดยมีขบวนแห่ม้านับร้อยตัว จุดเด่นคือสายรัดกับการประดับบนตัวม้าด้วยสีสันสดใสพร้อมระฆังเสียงดังกังวาน เจ้าของม้าก็แต่งกายด้วยสีสันสดใส

เริ่มที่ศาลเจ้าโอนิโคชิโซเซนในเมืองทาคิซาวะ จากนั้นก็เดินไปตามเส้นทางระยะทาง 15 กม. เพื่อไปที่ศาลเจ้าโมริโอกะฮาจิมังกุ สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจ สามารถชื่นชมขบวนม้าได้ตลอดทางเดิน หรือจะไปรอชมที่ปลายทางสุดท้ายนั่นคือศาลเจ้าโมริโอกะฮาจิมังกุก็ได้ ที่นี่เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ประจำเมืองที่มีอาคารสถาปัตยกรรมสวยงามอีกทั้งบรรยากาศรอบๆ บริเวณก็เต็มไปด้วยต้นไม้ที่ร่มรื่นน่าชมเช่นกัน

ช่วงเวลาที่จัดงาน : วันเสาร์สัปดาห์ที่ 2 ในเดือนมิถุนายนของทุกปี
การเดินทาง : จากสถานี Morioka ขึ้นรถบัสประจำทางที่ป้ายหมายเลข 9 ไปลงบริเวณสถานที่จัดงาน ที่ศาลเจ้าโมริโอกะฮาจิมังกุ

โกเบ (Kobe) เมืองท่าในคันไซที่มีบรรยากาศความหลากหลายของเชื้อชาติและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งในเดือนมิถุนายนถึงแม้จะเป็นหน้าร้อนแต่ก็มีที่เที่ยวและกิจกรรมน่าสนใจไม่แพ้ฤดูอื่นเพราะที่เที่ยวหลายๆที่นั้นสวยและสนุกโดยไม่ต้องเกี่ยวกับฤดูกาล

สำหรับจุดท่องเที่ยวในเมืองโกเบก็มีหลายแห่ง เช่น หอคอยโกเบ (Kobe Port Tower) หอคอยสีแดงรูปร่างคล้ายกลองญี่ปุ่นมีทั้งหมด 5 ชั้น, สวนเมริเคน (Meriken Park) สวนสาธารณะริมอ่าวโกเบซึ่งเป็นแหล่งรวมอีเวนท์วันหยุดสุดสัปดาห์ที่น่าสนใจทั้งตลาดนัดและนิทรรศการศิลปะ ย่านคิตาโนะ (Kitano) ที่เต็มไปด้วยบ้านเรือน ร้านอาหารเก่าแก่สไตล์ยุโรปแบบย้อนยุค หรือจะไปกินข้าวที่ไชน่าทาวน์โกเบ (Kobe-Nankinmachi) 1 ใน 3 ไชน่าทาวน์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งมีร้านอาหารจีนอร่อยๆ ให้เลือกอย่างหลากหลาย และแน่นอนใครที่ชอบเนื้อโกเบที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้ก็ต้องไปเยือนให้ได้สักครั้ง

การเดินทาง : ขึ้นรถไฟสาย Tokaido Main Line หรือ Sanyo Main Line ไปลงที่สถานี Kobe

วัดทันบะอาจิไซเดระ (Tanba Ajisaidera) หรืออีกชื่อเรียกกันว่า วัดทันชูคันนงจิ (Tanshu Kannonji) เป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเกียวโต (Kyoto) เป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นสวนดอกไม้เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคคันไซ ในเดือนมิถุนายนหากมาเยือนที่นี่จะได้ชื่นชมทิวทัศน์ของดอกอาจิไซมากกว่า 10,000 ต้น ราว 100 ชนิด ผลิดอกหลากหลายสีสัน ทั้งสีขาว สีฟ้า สีม่วง และสีชมพู อวดโฉมงดงามไปทั่วบริเวณ ทำให้วัดแห่งนี้ได้รับสมญานามว่าเป็น “วัดแห่งดอกไฮเดรนเยียหรือดอกอาจิไซ (Ajisaidera)”

โดยทุกปีจะมีการจัดงานเทศกาลดอกไฮเดรนเยีย (Ajisai Matsuri) ในช่วงวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 4 ของเดือนมิถุนายน และมีการจัดกิจกรรมน่าสนใจ เช่น คาเฟ่เทระจายะ (Terachaya Cafe) เปิดให้บริการให้นักท่องเที่ยวสามารถมาจิบชาพร้อมชมดอกไม้ไปได้พร้อม ๆ กัน นอกจากนี้ไฮไลท์ในการถ่ายภาพที่ไม่ควรพลาดคือ บริเวณทางเดินที่ทอดยาวทะลุผ่านซุ้มประตูเก่าแก่ซึ่งมีดอกไฮเดรนเยียขนาบทั้งสองข้างทาง

การเดินทาง : จากสถานี Ayabe ต่อรถไฟ JR San-in Line ไปลงที่สถานี Isa และเดินต่ออีกประมาณ 15 นาที
เวลาทำการ : 09.00 – 16.30 น.
ค่าเข้าชม : 400 เยน

หาดโจโดงาฮามะ (Jodogahama Beach) ในจังหวัดอิวะเตะ (Iwate) ได้รับการยกย่องให้เป็นจุดชมวิวที่สวยแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในสถานที่ชมความงามจากชายฝั่งทะเลซังริคุ (Sanriku) งดงามด้วยทัศนียภาพของต้นสนสีเขียวและผาหินสีขาวสะอาดตาตัดกับสีฟ้าของน้ำทะเล พร้อมด้วยต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นปกคลุมอยู่ด้านบน ทำให้เกิดเป็นภูมิทัศน์ที่งดงาม

อีกทั้งบริเวณใกล้เคียงมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้บริการ เช่น ห้องอาบน้ำ ร้านค้า และพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่พากันมาเล่นน้ำทะเลท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม กิจกรรมที่น่าสนใจ คือ จุดเล่นน้ำชายหาดโจโดงาฮามะ (Jodogahama Beach) ที่แห่งนี้เป็นเวิ้งน้ำ มีแหลมกั้นให้ห่างออกจากทะเลเปิด ทำให้คลื่นลมสงบนิ่งเหมือนกับทะเลสาบ จึงเหมาะสำหรับการเล่นน้ำในฤดูร้อน

การเดินทาง : จากสถานี Miyako บนสาย JR Yamada Line ต่อรถบัส Iwate Kenpoku Bus ไปลงที่ป้าย Oku-Jodogahama ใช้เวลา 20 นาที

ภูเขาอะโสะคือภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติอะโสะคูจุ (Aso Kuju National Park) ซึ่งในเดือนมิถุนายนจะมีบรรยากาศเป็นสีเขียวเข้มจากต้นไม้และทุ่งหญ้า แต่ว่าอากาศยังเย็นสบายยังไม่ร้อนสุดขีดเหมือนสิงหาคม ทำให้เหมาะกับการเก็บภาพสวยๆ

มีจุดชมวิวชื่อดังคือปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเกะ (Nakadake) ที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา รอบพื้นที่ภูเขาไฟเป็นเมืองชนบทเล็กๆและแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เช่น ทุ่งหญ้าคุสะเซนริ (Kusasenri) อันกว้างใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าและบึงน้ำขนาดใหญ่อยู่กลางทุ่ง มีบริการขี่ม้าชมธรรมชาติที่นี่สำหรับผู้สนใจ, ศาลเจ้าอะโสะ (Aso Shrine) อายุเก่าแก่ถึง 2,000 ปี และมีความโดดเด่นคือเป็นศาลเจ้าที่มีประตูทางเข้า (Romon) แบบ 2 ชั้น พิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟอะโสะ (Aso Volcano Museum) ที่ได้รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวเกี่ยวกับภูเขาไฟแห่งนี้ไว้ทั้งหมด เป็นต้น

การเดินทาง : ขึ้นรถไฟสายพิเศษ Aso Boy จากสถานี JR Kumamoto ไปยังสถานี JR Aso และต่อรถบัสไปลงป้าย Aso-san Nishi จากนั้นขึ้น Ropeway เพื่อไปชมปากปล่องภูเขาไฟ Nakadake (อาจมีการปิดให้บริการขึ้นอยู่กับสถานการณ์ภูเขาไฟ)
ค่าใช้จ่าย : มีค่าบริการโรปเวย์ ราคาไปกลับ 1,000 เยน

คานาซาวะ (Kanazawa) เป็นเมืองที่เปี่ยมไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรมและที่เที่ยวที่เน้นบรรยากาศความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ซึ่งในเดือนมิถุนายนของทุกปีจะมีเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองนั่นคือ เทศกาลเฮียะกุมังโกคุ (Hyakumangoku Festival) เพื่อระลึกถึงตระกูลผู้ปกครองแคว้นตั้งแต่โบราณ โดยมีกิจกรรมทั้งกลางวันและกลางคืน เช่นขบวนแห่ในชุดซามูไรเต็มยศและกิจกรรมลอยโคมในแม่น้ำอาซาโนะ (Asanogawa) เป็นต้น

นอกจากงานเทศกาลนี้ก็ยังมีที่เที่ยวอื่นๆ ในเมืองที่น่าสนใจอีก เช่นปราสาทคานาซาวะ (Kanazawa Castle), พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยแห่งศตวรรษที่ 21 (21st Century Museum of Contemporary Art) ที่จัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยจากศิลปินชื่อดัง, สวนเคนโรคุเอ็น (Kenrokuen Garden) 1 ใน 3 สวนที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น เป็นต้น

การเดินทาง : ขึ้นรถไฟสาย Hokuriku Main Line ไปลงสถานี Kanazawa

ผู้เขียนและเรียบเรียงใหม่: หนึ่ง
นักอ่านและนักเขียนที่ชอบการเดินทางไปในที่ต่างๆ โดยเฉพาะญี่ปุ่น รักการดูอนิเมะญี่ปุ่นเป็นชีวิตจิตใจ :)