All About Japan

รวมที่เที่ยวเด่นของคนไป "เฮียวโกะ" ครั้งแรก

ออนเซ็น Hyogo Kansai

จ. เฮียวโกะ เป็นจังหวัดในคันไซที่อยู่ติดกับโอซาก้า ประกอบไปด้วยสองเมืองหลักที่มีชื่อเสียงคือฮิเมจิที่ตั้งของปราสาทอันงดงาม และเมืองท่าโกเบที่เต็มไปด้วยที่เที่ยวหลากหลายรูปแบบ และเราได้รวบรวม 10 ที่เที่ยวที่น่าสนใจมาเป็นข้อมูลแนะนำสำหรับคนที่มีแผนจะเดินทางมายังจ.เฮียวโกะเป็นครั้งแรก

1. ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)

1. ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)

https://www.flickr.com/photos/luxtonnerre/2479393825/

ถือเป็นแลนด์มาร์คอันดับหนึ่งของจังหวัดเฮียวโกะและเป็นหนึ่งในปราสาทที่สวยงามมากที่สุดที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น จุดเด่นของปราสาทฮิเมจิคือตัวอาคารสีขาวงดงามจนได้รับการขนานนามว่า “ปราสาทนกกระสาขาว” และยังถือเป็นหนึ่งในปราสาทไม่กี่แห่งในญี่ปุ่นที่ไม่เคยถูกทำลายลงนับตั้งแต่ตอนที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1609 ยิ่งภายหลังการบูรณะปราสาทครั้งใหญ่ที่เพิ่งเสร็จสิ้นในปี 2015 ที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันปราสาทฮิเมจิอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เป็นอย่างมาก

เนื่องจากพื้นที่อันกว้างใหญ่ของปราสาท การเดินไปจนถึงตัวปราสาทหลักที่อยู่บนเนินสูงนั้นต้องผ่านทางเดินที่ค่อนข้างสลับซับซ้อนและใช้เวลาพอสมควร สำหรับนักท่องเที่ยวที่เน้นถ่ายรูปหรือมีเวลาเที่ยวไม่มาก ก็สามารถหามุมถ่ายรูปสวยๆ ได้มากมายตั้งแต่รอบคูน้ำจนถึงสวนหน้าปราสาท (บริเวณนี้ไม่ต้องซื้อบัตรเข้าชม) นอกจากนี้ พื้นที่รอบตัวปราสาทฮิเมจิยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ทั้งสวนญี่ปุ่นโคโคเอน สวนโบตั๋นเซ็นฮิเมะ และสวนสัตว์ฮิเมจิ

ค่าเข้าชม : บัตรเข้าชมตัวปราสาทอย่างเดียว 1,000 เยน บัตรเข้าชมตัวปราสาทพร้อมกับสวนโคโคเอน 1,040 เยน
เวลาเปิดปิด : 09.00 – 17.00 น.
การเดินทาง : เดินจากสถานี JR Himeji ประมาณ 15 นาที หรือขึ้น Himeji Loop Bus ไปลงป้าย Himeji Jo Otemon Mae

2. วัดเอนเกียวจิ (Engyoji Temple)

2. วัดเอนเกียวจิ (Engyoji Temple)

https://commons.wikimedia.org/wiki/File:%E5%9C%93%E6%95%99%E5%AF%BA_%E5%A4%A7%E8%AC%9B%E5%A0%82_-_panoramio.jpg

วัดเอนเกียวจิเป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 1,000 ปี ตั้งอยู่บนภูเขาโชชาในเมืองฮิเมจิ โดยลักษณะของวัดแห่งนี้จะประกอบไปด้วยกลุ่มอาคารมากมายตามแนวภูเขา อาคารแต่ละหลังก็เป็นอาคารไม้ขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นอย่างประณีตด้วยช่างฝีมือในอดีต และยังมีจุดชมวิวจากมุมสูงที่สามารถมองเห็นเมืองฮิเมจิรวมถึงปราสาทฮิเมจิได้ และด้วยบรรยากาศภายในตัววัดที่สงบ สวยงาม และให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับไปสู่โลกในอดีต ทำให้วัดแห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ในการถ่ายทำละครและภาพยนตร์ญี่ปุ่นย้อนยุคมากมาย รวมถึงภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดชื่อดังอย่าง “The Last Samurai” จนทำให้วัดเอนเกียวจิเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เดินทางมาเยือน

ค่าเข้าชม : 500 เยน
เวลาเปิดปิด : 08.30 – 18.00 น.
การเดินทาง : จากสถานี Himeji ขึ้นรถบัสสาย 8 มาลงที่ป้าย “Mount Shosha Ropeway” จากนั้นขึ้นกระเช้ามาบนยอดเขา (ค่ากระเช้าไปกลับ 1,000 เยน และที่จุดขึ้นรถบัสมีตั๋วแบบรวมทั้งค่ารถบัสไปกลับและค่ากระเช้า 1,400 เยน)

3. สวนโคโคเอน (Kokoen Garden)

3. สวนโคโคเอน (Kokoen Garden)

https://www.flickr.com/photos/danramarch/46492263875/

เช่นเดียวกับปราสาทสำคัญแห่งอื่นๆในญี่ปุ่นที่ต้องมีการสร้างสวนญี่ปุ่นเอาไว้คู่กัน สวนโคโคเอนแห่งนี้คือสวนญี่ปุ่นของปราสาทฮิเมจิที่ในอดีตนั้นถูกสงวนเอาไว้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับเจ้าเมืองและเหล่าขุนนางเท่านั้น แต่ได้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมา พื้นที่ภายในสวนโคโคเอนประกอบไปด้วยสระน้ำขนาดใหญ่ น้ำตก สะพานไม้เก่าแก่ และเรือนน้ำชาที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าร่วมพิธีชงชาได้ และยังมีพรรณไม้หลากหลายชนิดที่สร้างความสวยงามให้กับทุกฤดูกาล

เนื่องจากมุมของสวนและแนวต้นไม้สูงใหญ่ จึงไม่สามารถมองเห็นตัวปราสาทหลักจากสวนโคโคเอนได้เลย สำหรับใครที่ตั้งใจจะเข้ามาหามุมถ่ายรูปสวยๆของปราสาทฮิเมจิจากสวนแห่งนี้ต้องระวัง

ค่าเข้าชม : 300 เยน
เวลาเปิดปิด : 09.00 – 18.00 น. (ระหว่างเดือนกันยายน - กลางเดือนเมษายน ปิด 17.00 น.)
การเดินทาง : เดินจากสถานี JR Himeji ประมาณ 15 นาที หรือขึ้น Himeji Loop Bus ไปลงป้าย Himeji Jo Otemon Mae

4. สวนเมริเคน (Meriken Park)

4. สวนเมริเคน (Meriken Park)

https://pixta.jp/

สวนเมริเคนเป็นพื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ริมอ่าวโกเบ และเป็นที่ตั้งของแลนด์มาร์คสำคัญสองแห่งของเมืองโกเบคือหอคอยโกเบ (Kobe Port Tower) และพิพิธภัณฑ์ทางทะเลโกเบ (Kobe Maritime Museum) โดยลักษณะของสวนเมริเคนจะเป็นสวนที่ยื่นออกไปกลางทะเล ห้อมล้อมด้วยผืนน้ำทั้งสามทิศ มีทั้งพื้นที่สีเขียวให้พักผ่อนหย่อนใจ และยังมีคาเฟ่กับร้านอาหารให้แวะชิมหลายแห่ง แต่ช่วงเวลาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือตั้งแต่ช่วงเย็นไปจนถึงตอนค่ำที่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นหอคอยโกเบและพิพิธภัณฑ์ทางทะเลโกเบเปิดไฟประดับอย่างสวยงาม และมีฉากหลังเป็นแสงไฟหลากสีสันจากเมืองโกเบ จนภาพในมุมนี้ถือเป็นภาพจำของเมืองที่หลายคนน่าจะคุ้นตากันเป็นอย่างดี

ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
เวลาเปิดปิด : เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
การเดินทาง : สถานี Motomachi ของสาย JR หรือสถานี Minato Motomachi สายรถไฟใต้ดิน Kaigan Line

5. หอคอยโกเบ (Kobe Port Tower)

5. หอคอยโกเบ (Kobe Port Tower)

https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Kobe_port_tower12s3200.jpg

หอคอยสีแดงสดใสซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คประจำเมืองโกเบ โดยหอคอยแห่งนี้มีความสูง 108 เมตร สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1963 โดยมีลักษณะคล้ายกับกลองยาวของญี่ปุ่น พื้นที่ด้านในประกอบไปด้วย 5 ชั้น โดยชั้นแรกเป็นจุดจำหน่ายตั๋วและร้านขายของที่ระลึก ชั้นที่สองและสามเป็นร้านอาหาร และชั้นที่สี่ถึงห้าเป็นจุดชมวิวบนยอด ซึ่งในส่วนของจุดชมวิวนั้นเป็นแบบ 360 องศา ทำให้สามารถชมความงามของอ่าวโกเบ ท่าเรือ และทิวทัศน์ของเมืองโกเบได้ทั้งหมด ช่วงเวลาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือช่วงเย็นไปจนถึงตอนค่ำ ซึ่งสามารถชมวิวพระอาทิตย์ตกและทิวทัศน์ของเมืองในยามค่ำที่เปิดไฟสว่างอย่างสวยงามได้

ค่าเข้าชม : 700 เยน
เวลาเปิดปิด : เดือนมีนาคม-เดือนพฤศจิกายน 09.00 – 21.00 น.
เดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ 09.00 – 19.00 น.
การเดินทาง : สถานี Motomachi ของสาย JR หรือสถานี Minato Motomachi สายรถไฟใต้ดิน Kaigan Line

6. ย่านไชน่าทาวน์โกเบ นันคินมาจิ (Nankinmachi)

6. ย่านไชน่าทาวน์โกเบ นันคินมาจิ (Nankinmachi)

https://pixta.jp

ไปญี่ปุ่นทั้งทีหลายคนอาจต้องการสัมผัสบรรยากาศแบบญี่ปุ่นให้เต็มที่ แต่เราก็อยากให้แนะนำให้ลองแวะไปสัมผัสกับบรรยากาศของย่านไชน่าทาวน์ในญี่ปุ่นดูสักครั้ง เพราะในญี่ปุ่นนั้นถือว่ามีย่านไชน่าทาวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่แค่ประมาณ 2 แห่ง คือที่เมืองโยโกฮาม่าและที่เมืองโกเบนี่เอง แม้ว่าหลายคนอาจจะพอนึกภาพออกว่าภายในย่านนี้จะเต็มไปด้วยร้านอาหารจีน สตรีทฟู้ดหลากหลายเมนู และการประดับตกแต่งสองข้างทางในรูปแบบจีน แต่เสน่ห์ของไชน่าทาวน์โกเบนั้นคือการผสมผสานวัตถุดิบท้องถิ่นในญี่ปุ่นเข้ากับเมนูอาหารจีน ทำให้ออกมาเป็นเมนูที่หาทานที่อื่นไม่ได้แม้แต่จีนเอง และหนึ่งในนั้นก็คือเมนูอาหารจีนจากเนื้อโกเบอันขึ้นชื่อ

นอกจากนี้ย่านไชน่าทาวน์โกเบยังตั้งอยู่ระหว่างทางเดินจากสถานี Motomachi ไปยังสวนเมริเคน จึงถือว่าเป็นทางผ่านของนักท่องเที่ยวแทบทุกคนที่มาเยือนเมืองโกเบ ต่อให้ใครที่ไม่ได้วางแผนมาก่อน หรือเดินเที่ยวที่อื่นมาจนเหนื่อยและหิว ถ้าได้กลิ่นหอมๆ ของบรรดาสตรีทฟู้ดลูกครึ่งจีนญี่ปุ่นที่มีอยู่มากมายในย่านนี้ก็อาจจะทำให้ลืมอาหารญี่ปุ่นไปชั่วขณะได้อย่างง่ายดาย

ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
เวลาเปิดปิด : ขึ้นอยู่กับแต่ละร้านค้า (ประมาณ 10.00 – 21.00 น.)
การเดินทาง : สถานี Motomachi

7. ย่านคิตาโนะ อิจินคัง (Kitano Ijinkan)

7. ย่านคิตาโนะ อิจินคัง (Kitano Ijinkan)

https://www.flickr.com/photos/wongwt/34857551791/

เนื่องจากโกเบนั้นเป็นเมืองท่าสำคัญแห่งแรกๆของญี่ปุ่น ทำให้มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมจากทั่วโลกมาตั้งแต่ในอดีต นอกจากจะมีย่านไชน่าทาวน์แล้วก็ยังมีย่านที่ให้บรรยากาศแบบตะวันตกอย่างย่านคิตาโนะอิจินคังอยู่อีกด้วย โดยในอดีตย่านแห่งนี้คือย่านที่พักของชาวตะวันตกที่เดินทางมาค้าขายในญี่ปุ่น จึงทำให้เต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนที่สร้างขึ้นในสไตล์ยุโรป ไม่ว่าจะเป็นบ้านแบบอังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรีย และอีกมากมาย

บ้านหลายแห่งในย่านนี้มีอายุมากกว่า 100 ปี ซึ่งนอกจากจะได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีแล้ว หลายแห่งยังถูกดัดแปลงเป็นร้านค้า คาเฟ่ และพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปสัมผัสบรรยากาศภายในได้อย่างใกล้ชิด และยังถือเป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายรูปสวยๆ ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง

ค่าเข้าชม : พื้นที่ด้านนอกเป็นถนนสาธารณะ เดินฟรี อาคารบางหลังมีค่าเข้าชมประมาณ 300 – 1,000 เยน
เวลาเปิดปิด : ขึ้นอยู่กับสถานที่แต่ละแห่ง
การเดินทาง : สถานี Shin-Kobe หรือ Sannomiya

8. ภูเขาร็อกโกะ (Mt.Rokko)

8. ภูเขาร็อกโกะ (Mt.Rokko)

https://pixta.jp

นอกจากภาพของหอคอยโกเบและพิพิธภัณฑ์ทางทะเลโกเบที่เปิดไฟอย่างสวยงามในตอนกลางคืนแล้ว ในโกเบก็ยังมีมุมอีกมุมหนึ่งที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 3 วิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น นั่นก็คือมุมจากจุดชมวิวบนภูเขาร็อกโกะ ซึ่งจากมุมนี้เราจะได้เห็นภาพของเมืองโกเบยาวไปจนถึงเมืองโอซาก้าที่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ และแสงระยิบระยับของสองเมืองใหญ่นี้ยังเป็นที่มาของชื่ออีกชื่อหนึ่งที่ได้รับการขนานนามว่า “วิวสิบล้านดอลลาร์” ซึ่งพูดกันตลกๆว่าหมายถึงค่าไฟของทั้งเมือง

สำหรับใครที่เดินทางมายังภูเขาร็อกโกะในช่วงเช้าหรือกลางวัน ด้านบนภูเขายังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายที่น่าสนใจ เช่นพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีที่จัดแสดงกล่องดนตรีเก่าแก่ของยุโรปและอเมริกา และยังมีการจัดแสดงคอนเสิร์ตกล่องดนตรีให้ชมทุกวัน รวมถึงสวนพฤกษศาสตร์ร็อกโกะที่สามารถสัมผัสกับความร่มรื่นและความสวยงามของพรรณไม้กว่า 1,500 สายพันธุ์

ค่าเข้าชม : จุดชมวิวเข้าชมฟรี ค่าเข้มชมพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี 1,030 เยน ค่าเข้มชมสวนพฤกษศาสตร์ร็อกโกะ 620 เยน
เวลาเปิดปิด : จุดชมวิว 09.00 – 21.00 น. พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี 10.00 - 17.00 น. (ปิดวันพฤหัสบดี) สวนพฤกษศาสตร์ 10.00 – 17.00 น.
การเดินทาง : สถานี Rokko ต่อรถบัสหมายเลข 16 ไปที่กระเช้า (ค่าขึ้นกระเช้าไปกลับ 1,000 เยน)

9. อะริมะ ออนเซ็น (Arima Onsen)

9. อะริมะ ออนเซ็น (Arima Onsen)

https://ja.wikipedia.org/wiki/%E3%83%95%E3%82%A1%E3%82%A4%E3%83%AB:Arima_Onsen_River_2013.jpg

อะริมะออนเซ็น ถือเป็นเมืองออนเซ็นที่มีประวัติยาวนานกว่าหนึ่งพันปี จนถือว่ามีความเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น และยังเป็นเมืองออนเซ็นที่สามารถเดินทางมาได้อย่างสะดวกสบายทั้งด้วยรถบัสจากโอซาก้า หรือด้วยรถไฟที่เดินต่อจากสถานีเพียง 5 นาทีก็สามารถแช่ออนเซ็นได้ทันที และยังสามารถแวะมาได้แบบไปเช้าเย็นกลับสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาไม่มาก ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้อะริมะออนเซ็นกลายเป็นเมืองออนเซ็นที่ได้รับความนิยมสูงสุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคคันไซ

จุดเด่นของอะริมะออนเซ็นคือน้ำแร่สองสีที่ไม่เหมือนออนเซ็นที่อื่นๆ อันดับแรกคือน้ำแร่ที่มีสีน้ำตาลแดงเนื่องจากมีธาตุเหล็กผสมอยู่เป็นปริมาณมาก จนได้รับการขนานน้ำว่าเป็น “ออนเซ็นสีทอง” และมีสรรพคุณในการรักษาอาการปวดตามจุดต่างๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ เอว หรือตามข้อต่างๆ และยังมี “ออนเซ็นเงิน” ที่มีลักษณะเป็นน้ำใสๆ ไม่มีสี และมีส่วนผสมของกรดคาร์บอนิก ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น จึงช่วยบำบัดโรคความดันโลหิตสูงได้

ค่าเข้าชม : มีทั้งบ่อแช่เท้าฟรี และบ่อของรีสอร์ทต่างๆ ที่เก็บค่าใช้บริการประมาณ 600 เยน
เวลาเปิดปิด : ขึ้นอยู่กับรีสอร์ทแต่ละแห่ง
การเดินทาง : มีรถบัสของบริษัท JR และ Hankyu วิ่งตรงจากโอซาก้าและเกียวโต หรือขึ้นรถไฟสาย Arima Line ไปลงที่สถานี Arimaonsen ก็ได้

10. คิโนซากิ ออนเซ็น (Kinosaki Onsen)

10. คิโนซากิ ออนเซ็น (Kinosaki Onsen)

https://pixta.jp

อีกหนึ่งเมืองออนเซ็นที่มีความเก่าแก่และมีชื่อเสียงไม่แพ้อะริมะออนเซ็น โดยคิโนซากิออนเซ็นนั้นตั้งอยู่บริเวณตอนเหนือของ จ.เฮียวโกะ มีประวัติความยาวนานมากกว่า 1,300 ปี ทำให้บรรยากาศภายในเมืองนั้นมีกลิ่นอายของความย้อนยุค และยังมีความพิเศษคือเป็นจุดชมซากุระที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็นเมืองออนเซ็นเพียงไม่กี่แห่งในภูมิภาคคันไซที่มีหิมะตก จึงสามารถแช่น้ำไปพร้อมกับดูวิวหิมะได้ไม่ต่างจากทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่น

คิโนซากิ ออนเซ็นมีบ่อออนเซ็นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและเป็นจุดขายของเมืองอยู่ทั้งหมด 7 บ่อ แต่ละบ่อนั้นนอกจากจะมีบรรยากาศและสรรพคุณต่อร่างกายที่แตกต่างกันออกไป ยังเชื่อกันว่าคนที่มาแช่จะได้รับความเป็นมงคลกลับไปอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้แคล้วคลาดจากอันตราย ไปจนถึงช่วยให้โชคในการทำธุรกิจและการหาคู่ครอง ซึ่งถ้าใครพักค้างคืนในรีสอร์ทต่างๆ ที่นี่ ก็จะได้รับบัตรที่สามารถใช้บริการบ่ออออนเซ็นทั้ง 7 บ่อนี้ได้ฟรี (หากไม่ได้พักค้างคืน แต่ละบ่อจะมีการเก็บค่าบริการแยกต่างหาก)

ค่าเข้าชม : มีทั้งบ่อแช่เท้าฟรี และบ่อของรีสอร์ทต่างๆ ที่เก็บค่าใช้บริการประมาณ 600-800 เยน
เวลาเปิดปิด : ขึ้นอยู่กับรีสอร์ทแต่ละแห่ง
การเดินทาง : สถานี Kinosaki Onsen

know-before-you-go