เที่ยวรอบ "อุเอโนะ" แบบครบสุดๆ
“อุเอโนะ" เป็นหนึ่งที่สำคัญที่ต้องปักหมุดไว้ในแผนเที่ยวญี่ปุ่นเพราะความวาไรตี้สูง มีทั้งจุดชมซากุระที่โด่งดัง, มีสวนสัตว์, มีแหล่งช้อบปิ้ง, ย่านพิพิธภัณฑ์ ร้านอาหารและโรงแรมมากมาย รวมถึงเป็นจุดขึ้นลงรถไฟทั้งชินกังเซ็นและรถไฟด่วนไปสนามบินนาริตะ ใครก็ตามที่ไปโตเกียวจะต้องได้มาเดินเที่ยวแน่ๆ ฉะนั้นเรามารู้จักอุเอโนะให้พรุนกันดีกว่า
พื้นที่ "อุเอโนะ" ที่นิยมเที่ยวแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือส่วนที่อยู่ในสวนสาธารณะและส่วนที่อยู่ข้างนอก โดยภายในสวนจะเต็มไปด้วยพิพิธภัณท์ ดอกไม้ สวนสัตว์ ส่วนด้านนอกจะเป็นย่านการค้าและตลาดสดที่คนนิยมเดินเที่ยว เราได้ปักหมุดที่สำคัญๆมาให้ทุกคนลองไปตามกัน
สวนอุเอโนะ (Ueno Park)
เป็นสวนสาธารณะแห่งแรกที่ดูแลโดยรัฐบาลญี่ปุ่นมีชื่อเต็มว่า Ueno Onshi Koen ตั้งอยู่ในเขตTaito จังหวัดโตเกียว มีเนื้อที่ประมาณ 530,000 ตารางเมตร พื้นที่ดั้งเดิมของสวนสาธารณะอุเอโนะ เป็นที่ตั้งของวัด Kan-eiji มาตั้งแต่สมัยยุคเอโดะ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1625 จนกระทั่งสงครามฺ Boshin เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1868 บริเวณวัดแห่งนี้กลายสภาพเป็นหนึ่งในสมรภูมิรบ นำมาซึ่งความเสียหายของตัวอาคารมากมายและเมื่อสงครามสิ้นสุดลงพื้นที่แห่งนี้ถูกเตรียมก่อสร้างเป็นโรงเรียนแพทย์และโรงพยาบาลทหาร แต่เมื่อนายแพทย์ชาวดัตซ์ชื่อ Anthonius Franciscus Bauduin ได้มาเห็นทัศนีย์ภาพอันงดงามของธรรมชาติโดยรอบ จึงตัดสินใจผลักดันให้สร้างเป็นสวนธารณะขึ้นแทน สวนสาธารณะอุเอโนะจึงถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในปีค.ศ.1876
ในช่วงปลายเดือนมีนาคม – ต้นเดือนเมษายน สวนอุเอโนะแห่งนี้ จะเป็นจุดชมซากุระที่โด่งดังมากทั้งช่วงกลางวันและช่วงกลางคืนที่มีการประดับไฟที่งดงามจนน่าหลงใหล แถมมีร้านแผงลอยสไตล์ญี่ปุ่นมาตั้งให้ได้ชิม,ช้อป,เล่นกัน นอกจากจากเทศกาลชมซากุระแล้วที่นี่ก็มักจะมีงานเทศกาลต่างๆมาจัดที่สวนนี้อยู่เป็นประจำ วันไหนที่ไม่มีงานเทศกาล ที่นี่ก็ยังมีจุดให้ท่องเที่ยวได้อีกมากมาย
ค่าเข้าสวน : ฟรี
เวลาเปิด-ปิด: 05.00 - 23.00 น.
วันปิดทำการ: ไม่มี
วิธีการเดินทาง:
สถานีรถไฟที่ไปสวนอุเอโนะสะดวกที่สุดคือสถานี Ueno ของรถไฟ JR ใช้ทางออก Park Exit หรือทางออก Shinobazu ข้ามถนนไปจะเป็นสวนอุเอโนะ
สถานี Keisei Ueno ของรถไฟ Keisei (ที่เชื่อมต่อกับสนามบินนาริตะ) ใช้ทางออกหลัก (Main Exit) เมื่อออกมาจนเจอถนนให้เลี้ยวซ้าย จะเจอบันไดขึ้นสวน
1. สวนสัตว์อุเอโนะ
นอกจากที่นี่เป็นสวนสัตว์ขนาดใหญ่แห่งแรกของญี่ปุ่น ที่เปิดมา 130 กว่าปี ที่เดินทางสะดวกแบบออกจากสถานีรถไฟก็เดินไปไม่ถึง 10 นาทีแล้ว ยังมีดาราดังระดับต้องต่อคิวเข้าชมกันเป็นชั่วโมงๆอย่างเจ้าแพนด้าน้อย (แต่ตัวยักษ์) ชางชาง อันเป็นตัวแทนในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นอยู่ด้วย
นอกจากนี้ก็ยังมีสัตว์แปลกๆและสัตว์พื้นเมืองน่ารักๆมากกว่า 3,000 ตัว 400 สายพันธุ์มาให้ได้ชมกันด้วย เช่น เจ้าลิงน้อย[อายอาย] สัตว์ที่มีถิ่นกำเนิดจากเกาะมาดากัสการ์ที่สามารถหาชมได้ในญี่ปุ่นแค่ที่นี่เท่านั้น เจ้า[โอคาพี] สัตว์ประหลาดที่จะว่าม้า ก็ไม่ใช่ ม้าลาย ก็ไม่เชิง,สัตว์ที่อายุยืนที่สุดอย่างเจ้า [เต่ายักษ์กาลาปาโกส] ที่มีถิ่นกำเนิดที่หมู่เกาะกาลาปาโกสมีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นเต่าบกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หรือสัตว์ผู้ทรงอิทธิพลของทะเลแห่งความหนาวเย็นเจ้า[หมีขาว] ที่สวนสัตว์อุเอโนะจะทำเป็นกรงเลี้ยงที่มีสระว่ายน้ำไว้ให้เราได้ดูหมีขาวว่ายน้ำได้ใกล้ๆกับแมวน้ำและสิงโตทะเลที่มีถิ่นกำเนิดที่เดียวกับกับหมีขาวด้วยเป็นต้น
ถ้าใครจะพาเด็กๆหรือครอบครัวไปเที่ยวรับรองไม่ผิดหวัง จะเอาข้าวกล่องเข้าไปทานแล้วอยู่ในสวนสัตว์ทั้งวันก็คุ้มดีไม่น้อย
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 600 เยน ผู้สูงอายุ 300 เยน เด็กนักเรียน 200 เยน เด็กเล็ก ฟรี
เวลาเปิด-ปิด: 9:30 - 17:00 น.
วันปิดทำการ: ปิดทุกวันจันทร์,ปิด 29 ธันวาคม - 1 มกราคม
2. พิพิธภัณฑ์ศิลปะตะวันตก (The National Museum of Western Art)
ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะของรัฐแห่งแรกในญี่ปุ่น เปิดทำการเมื่อปี 1926 จัดแสดงผลงานของศิลปินญี่ปุ่นและต่างประเทศมากมายโดยเฉพาะจากฝรั่งเศส พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้ ถือเป็นคอลเลคชั่นส่วนตัวด้านงานศิลปะที่ทำขึ้นมาของคุณ Matsukata Kojiro นักธุรกิจชาวญี่ปุ่น สร้างขึ้นโดยมีเป้าหมายว่าอยากให้คนญี่ปุ่นได้ชมศิลปะตะวันตกของจริงจึงได้กว้านซื้อผลงานศิลปะทั้งภาพวาดและงานแกะสลักเอาไว้เป็นจำนวนมากราวหนึ่งหมื่นชิ้น แต่ผลงานที่ห้ามพลาดเด็ดขาดเลย ก็คือ ห้องที่รวบรวมภาพวาดของโมเน่ต์ ซึ่งภาพที่โด่งดังที่สุดก็คือ ภาพ"Pygmy water-lily Plant" (ดอกบัว) ผลงานขนาดราว 2 เมตร ที่ในแต่ละวันจะมีคนมาหยุดยืนที่นี่เพื่อจ้องมองเข้าไปในรูปนี้ รวมถึงโซนนิทรรศการด้านนอก ที่มีการจัดแสดงรูปแกะสลักของโรดินที่ตั้งอยู่ระหว่างประตูทางเข้ากับตึกพิพิธภัณฑนั้นก็ได้รับความนิยมไม่น้อย แม้ในอุเอโนะเต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ศิลปะมากมายก็จริง แต่ที่แห่งนี้มีจุดเด่นตรงที่มีงานศิลปะตะวันตกมากมายแต่จ่ายค่าบัตรด้วยราคาไม่แพง
ค่าเข้าชม: นิทรรศการถาวร 500 เยน(อายุต่ำกว่า 18 ปีหรือเกิน 65 ปีไม่เสียค่าเข้าชม)
วันเสาร์ที่ 2,4 ของทุกเดือนและวันที่ 3 พฤศจิกายน (วันวัฒนธรรม) นิทรรศการถาวร ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิด-ปิด: 9:30 - 17: 30 น.
วันหยุด: วันจันทร์(หากวันจันทร์เป็นวันหยุดราชการจะหยุดในวันอังคาร)และช่วงสิ้นปี
3. พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Museum of Nature and Science)
มาต่อกับอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ในสวนอุเอโนะ แต่คราวนี้จะเน้นเรื่องราวของธรรมชาติและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์แห่งชาติของญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยเจ้าปลาวาฬตัวเขื่องที่ตั้งอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์
ที่นี่จะแบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือ Jikyu-kan : Global Gallery ที่จะเน้นการจัดแสดงเรื่องราววิทยาศาสตร์จากทั่วโลก เกี่ยวกับโลกมนุษย์ทั้งด้านวิวัฒนาการและความหลากหลายทางธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต มีโครงกระดูกไดโนเสาร์ขนาดเท่าจริง ระบบนิเวศของโลก ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการวิจัยเกี่ยวกับอวกาศ และสวนเด็กเล่นสำหรับเด็กอายุ 4-6 ปี
อีกหนึ่งส่วน ก็คือ"Nihon-kan : Japan Gallery" ที่จะเน้นเรื่องราวเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก ย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์ มีการจัดแสดงฟอสซิลอย่างฟุตาบะซอรัส ไดโนเสาร์พันธุ์คอยาวที่ขุดพบเจอตัวแรกในประเทศญี่ปุ่น ความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่นในอดีต สิ่งมีชีวิตทั้งบนบกและในทะเล และวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีต่างๆอย่างเครื่องมือสังเกตธรรมชาติ,กล้องดูดาว,นาฬิกาโบราณ,เครื่องวัดขนาดแผ่นดินไหว,นาฬิกาแดด เป็นต้น เรื่องราวความน่าสนใจของที่นี่ไม่ว่าจะผู้ใหญ่หรือเด็กก็สามารถเพลิดเพลินและสนุกสนานได้ไม่ง่วงเหงาหาวนอนตลอดการเดินชมคร่าวๆอย่างน้อย 3 ชม.ในนี้แน่ๆ
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ &นักศึกษามหาวิทยาลัย 620 เยน (นักเรียนม.ปลายและต่ำกว่า เข้าฟรี!)
เวลาเปิด – ปิด : 9:00 – 17:00 น.
วันหยุด:วันจันทร์
4.ตลาดอะเมโยโกะ
ส่วนผู้สาวขาช้อปหรือหนุ่มสายเปย์ เมื่อมาที่แถบอุเอโนะแล้วต้องไม่พลาดที่จะเดินเลยมายังตลาดอะเมโยโกะ ตลาดแนวโลคอลสไตล์ญี่ปุ่นอันแสนคึกคักและมีทุกสิ่งให้เลือกสรร ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างสถานีอุเอโนะและสถานีโอคาชิมาชิ บรรยากาศการค้าขายภายในตลาดแห่งนี้จะมีผู้คนมากมายทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวจะมาจับจ่ายใช้สอยกัน ตั้งแต่กลางวันถึงตอนค่ำ เพราะที่นี่จะมี อาหารทะเล,ผัก,ผลไม้,ขนม,เสื้อผ้า,ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ,เครื่องสำอาง,กระเป๋า,รองเท้า,น้ำหอม,สินค้าแบรนด์เนม,เครื่องใช้ไฟฟ้า (ขอพื้นที่อีกสัก 1หน้ากระดาก็อาจจะสาธยายของที่ขายที่นี่ไม่หมด) เป็นต้น
นอกจากร้านบนดินที่ยาวตลอดกว่า 1 กม. ซอกซอยเล็กๆน้อยๆอีกเพียบแล้วก็ยังมีตลาดสดอยู่ใต้ดินอีก ที่จะเน้นขายของพวกอาหารสด,อาหารทะเล,เนื้อหมู,เนื้อไก่,อาหารและเครื่องปรุงต่างๆในแถบเอเชีย อย่างน้ำปลาของไทยหรือสมุนไพรของจีนเป็นต้น เรียกได้ว่าอยากได้อะไรที่ตลาดอะเมโยโกะมีให้หมด ที่สำคัญบางร้านนี่ยังสามารถต่อรองราคาได้อีกด้วย หรือถ้าเดินแล้วหิวก็สามารถแวะไปกินอาหารในตลาดได้อีกเพียบ เผื่อใครไม่อยากเดินห้างแต่อยากช้อปปิ้งแนวตลาดๆก็ขอให้มาที่นี่เลย
ค่าเข้าชม : ฟรี
เวลาเปิด-ปิดร้านค้าในตลาด: แตกต่างกันแล้วแต่ร้านค้า
วันปิดทำการ: ไม่มี แล้วแต่ร้านค้า
5.พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติโตเกียว (Tokyo National Museum)
พิพิธภัณฑ์สถานที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น มีการจัดแสดงและเก็บรักษามรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าประจำท้องถิ่นของประเทศซีกโลกตะวันออกไว้มากมายมากกว่า 110,000 ชิ้นเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะอย่างรูปปั้นแกะสลัก ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า หรือแม้แต่อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการทำสงคราม จึงทำให้ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีสิ่งของทางประวัติศาสตร์มากมายให้เราได้เดินดูกันอย่างจุใจ
ด้วยความที่ที่นี่มีพื้นที่ที่กว้างขวางมาก จึงแบ่งส่วนของการจัดแสดงเป็น 5 อาคาร ตามหมวดหมู่ของงานศิลปะ อย่างเช่น “อาคารศิลปะญี่ปุ่น” ที่จัดแสดงงานศิลปะแบบญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยโบราณยันสมัยปัจจุบัน ”อาคารศิลปะเอเชีย” จัดแสดงงานศิลปะของประเทศต่างๆในเอเชีย “อาคารสมบัติวัดโฮริวจิ” จัดแสดงผลงานมาสเตอร์พีซที่เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของญี่ปุ่น เป็นต้น ความดีงามอีกอย่างหนึ่งของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือเขาอนุญาตให้เราสามารถถ่ายรูปเก็บภาพความสวยงามของเหล่าข้าวของโบราณเหล่านั้นเอาไว้ได้อย่างไม่ผิดกฏ (แต่ห้ามใช้แฟลช) ส่วนใครที่เดินดูนิทรรศการภายในจนเหนื่อยแล้ว ก็ยังสามารถมานั่งที่ร้านอาหารสุดชิคด้านในหรือจะแวะไปที่ร้านขายของที่ระลึกก็ได้
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 620 เยน, นักศึกษา 410 เยน, อายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าฟรี
เวลาเปิด-ปิด: 9.30-17.00 น.
วันปิดทำการ: ทุกวันจันทร์และช่วง 26ธันวาคม - 1มกราคม
6.บ่อน้ำ Shinobazu
บ่อน้ำ Shinobazu เป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ ความกว้างประมาณ 110,000 ตารางเมตร จึงถูกแบ่งออกเป็น 3 โซนใหญ่ๆ ก็คือส่วนแรก「บึงดอกบัว (Hasu-Ike)」ที่มีดอกบัวขึ้นเต็มไปหมด หากใครจะไปชมความงามของดอกบัวบานก็ต้องไปตอนช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมเท่านั้น ส่วนที่ 2 คือ 「บึงนกกาน้ำ (Uno Ike) 」สถานที่ตั้งรกรากของนกกาน้ำจำนวนไม่น้อย และในส่วนสุดท้ายคือ 「บึงพายเรือ (Boat Ike)」ที่ทุกคนสามารถสนุกกับการพายเรือถีบได้ด้วย
และที่เด่นไปกว่านั้นก็คือตรงกลางบ่อน้ำนั้นจะมีส่วนที่มีลักษณะเป็นเกาะ และเป็นที่ตั้งของวิหาร 8 เหลี่ยมของวัด Shinobazuike Bentendo อยู่อีกด้วย โดยวัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเทพเจ้า Benten เทพแห่งการพยากรณ์, สุขภาพ, ดนตรี และความรู้ ผู้คนจึงนิยมไปขอพรกัน ช่วงที่เรียกได้ว่าเป็นที่นิยมสำหรับทั้งคนแถบๆนี้ไปจนถึงนักท่องเที่ยวก็ต้องช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิด-ปิด: ส่วนวัด Shinobazuike Bentendo จะเปิด-ปิดเวลา 05:00 - 17:00 น.
ปิดทำการ: ไม่มี
7. อนุสาวรีย์ Saigo Takamori (ไซโกะ ทาคาโมริ) และหลุมฝังศพทหารของโชกุน Tokugawa
การต่อสู้ในสมัยการปฏิวัติเมจิ (ที่สวนอุเอะโนะเคยเป็นส่วนหนึ่งของสนามรบ) มีทหารเสียชีวิตจำนวนมาก ในสมัยนั้นจึงได้มีการสร้างหลุมฝังศพและอนุสาวรีย์ไว้เป็นอนุสรณ์ในสวนอุเอะโนะ 2 แห่ง แห่งแรกก็คืออนุสาวรีย์ Saigo Takamori ที่เป็นรูปปั้นสัมฤทธิ์เหมือนจริงขนาดสูงกว่า 4 เมตรของ Saigo Takamori บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ในสมัยการปฏิวัติเมจิ ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ที่ทำให้รัฐบาลเมจิได้รับชัยชนะและเป็นฝ่ายที่กลายเป็นรากฐานของญี่ปุ่นสมัยใหม่หลังสงครามสงบ แต่ในปัจจุบั จุดนี้กลายเป็นจุดถ่ายรูปที่ระลึกยอดนิยมที่เมื่อใครมาเยือนที่สวนอุเอโนะแห่งนี้ก็ต้องหยุดถ่าย
และอย่างที่บอกไปว่าสวนอุเอะโนะแห่งนี้เคยเป็นพื้นที่สู้รบกันระหว่างฝ่ายรัฐบาลเมจิกับฝั่งโชกุนที่มีตระกูลโชกุน Tokugawa เป็นแม่ทัพใหญ่ หลังจากที่มีทหารเสียชีวิต หลุมฝังศพที่ระลึกของทหารฝ่ายโชกุน Tokugawa ที่เรียกว่า Shogitai ก็ถูกสร้างขึ้นไว้ที่นี่เพื่อเป็นที่ระลึกเช่นกัน ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้เราได้ซึมซับความเป็นญี่ปุ่นในเชิงประวัติศาสตร์มากขึ้น โดยทั้ง 2 จุดนี้ ตั้งอยู่ทางเข้าด้านทิศใต้ของสวนอุเอะโนะ
ค่าเข้าชม : ฟรี
เวลาเปิด-ปิด: 05.00 - 23.00 น.
8. พระใหญ่ Ueno Daibutsu
แม้จุดนี้จะไม่ใช่โลเคชั่นที่ใหญ่โตอย่างพิพิธภัณฑ์ต่างๆที่แนะนำไป แต่ก็ถือเป็นไฮไลท์ที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวจุดหนึ่ง เพราะพระใหญ่ Ueno Daibutsu นี้ มีความหมายต่อคนที่นี่พอสมควร แต่เดิมในสมัยเอโดะพระใหญ่ Ueno Daibutsu เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิแบบเต็มองค์สูงราว 6 เมตร แต่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสงครามที่เกิดขึ้นบ่อยในสมัยก่อนแต่ก็ได้รับการบูรณะเรื่อยมา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในแถบคันโตเมื่อปีค.ศ.1923 ด้วยความเสียหายหนักจนบูรณะไม่ได้ จึงหลงเหลือเพียงส่วนพระพักตร์ (ใบหน้า) เท่านั้น
และจุดนี้เองก็เป็นจุดขอพรที่โด่งดังในเรื่องของการศึกษา ในช่วงใกล้สอบเราจะได้เห็นว่ามีกลุ่มนักเรียนนักศึกษามาไหว้พระขอพรกันที่นี่อยู่บ่อยๆ เหตุที่พระใหญ่ Ueno Daibutsu นี้มีชื่อเสียงเรื่องของการสอบนั้น เพราะว่าหลังจากเกิดแผ่นดินไหวก็จะมีแค่ส่วนพระพักตร์ที่ตกลงมาจุดนี้ ในขณะที่ส่วนอื่นๆของพระพุทธรูปเกิดความเสียหายมากและถูกนำไปหลอมใหม่ คนที่นี่เลยเชื่อว่า ”ต่อจากนี้ไปก็คงจะไม่มีอะไรตกไปกว่านี้อีกแล้ว” เปรียบได้กับการสอบที่ "จะไม่สอบตก" นั่นเอง แต่ถ้ายังไงใครมาไหว้แล้วก็อย่าลืมอ่านหนังสือควบคู่ไปด้วยนะ จะได้ไม่สอบตกชัวร์ๆ
ค่าเข้าชม : ฟรี
เวลาเปิด-ปิด: 05.00 - 23.00 น.
ผู้เขียน: Suphatthra
เป็นคนที่รักการเขียน รักการอ่าน รักการออกไปดูโลกกว้าง เฮฮา บ้าบอ ขาลุย และรักญี่ปุ่น