รวมที่เที่ยวเกี่ยวกับสัตว์ในญี่ปุ่น
เวลาวางแผนเที่ยวญี่ปุ่น หลายคนอาจเลือกวางแผนจากประเภทของที่เที่ยว เช่นวัฒนธรรม ช้อปปิ้ง หรือร้านอาหาร แต่วันนี้เราจะมาแนะนำที่เที่ยวเกี่ยวกับสัตว์ในญี่ปุ่น ที่มีทั้งสัตว์ที่หลายคนรู้จักกันดีอย่างกวาง ลิง หรือแมว ไปจนถึงสัตว์ที่ชื่อไม่คุ้นหูอย่างคาปิบาร่า และปิดท้ายด้วยสิ่งมีชีวิตหน้าตาลึกลับอย่าง "ปรสิต" ที่หลายคนอาจไม่เคยได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดมาก่อน
1. เกาะแมวอาโอชิม่า จ.เอฮิเมะ (Aoshima Cat Island, Ehime)
ในญี่ปุ่นนั้นมีเกาะแมวอยู่มากกว่า 10 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น แต่เกาะที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงมากที่สุดนั้น คือเกาะอาโอชิม่า ในจ.เอฮิเมะ โดยมีข้อมูลระบุไว้ว่าบนเกาะแห่งนี้มีประชากรแมวอยู่ถึง 130 ตัว แต่มีประชากรมนุษย์เพียงไม่ถึง 15 คน โดยเกาะแห่งนี้เคยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกจากแคมเปญที่คนบนเกาะจัดขึ้นเพื่อรับบริจาคอาหารแมวที่มีไม่เพียงพอต่อจำนวนแมวที่เพิ่มมากขึ้น
แม้จำนวนแมวร้อยกว่าตัวอาจจะฟังดูไม่มากมายอะไร แต่เมื่อเทียบกับขนาดของเกาะที่ค่อนข้างเล็ก บวกกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเยือนกันมากขึ้นจนบรรดาแมวบนเกาะเริ่มคุ้นชิน ทำให้ตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากท่าเรือ ก็มีโอกาสได้เจอกับเหล่าแมวบนเกาะที่มารอต้อนรับอยู่ และจะยิ่งโผล่มาทักทายมาขึ้นเรื่อยๆ หากมีอาหารติดไม้ติดมือไปฝากเจ้าเหมียวบนเกาะ โดยเกาะแห่งนี้มีกฎระเบียบหลักๆ คือสามารถให้อาหารแมวได้ แต่ต้องให้ในจุดที่กำหนดไว้เท่านั้น เพื่อรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบ นอกจากนี้บนเกาะอาโอชิม่านั้นไม่มีอะไรเลยแม้แต่ร้านอาหารหรือตู้กดน้ำ ใครที่วางแผนจะเดินทางไปเที่ยวนานกว่าครึ่งวัน ก็ควรเตรียมน้ำดื่มหรืออาหารติดตัวไปด้วย
การเดินทาง : จากสถานี Okayama ขึ้นรถไฟสาย Yosan Line-Limited Express ไปลงที่สถานี Matsuyama จากนั้นเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย Yosan ไปลงที่สถานี Iyo-Nagahama และเดินไปขึ้นเรือที่ท่าเรือ Nagahama
โดยเรือเฟอรี่ไปยังเกาะอาโอชิม่าจะให้บริการวันละ 2 เที่ยวคือระหว่างเดือนเมษายน-ตุลาคม 07.00 และ 14.30 เที่ยวกลับคือ 07.50 และ 16.15 และระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม 07.30 และ 14.30 เที่ยวกลับคือ 08.30 และ 16.15 ใช้เวลาเดินทางเที่ยวละ 45 นาที เที่ยวละ 680 เยน
เวลาเปิดปิด : เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
2. หมู่บ้านจิ้งจอกซาโอะ จ. มิยางิ (Zao Fox Village, Miyagi)
นอกจากความน่ารักของสุนัขหรือแมวที่เราคุ้นเคยกันดีแล้ว สุนัขจิ้งจอกที่ใครหลายคนอาจไม่เคยมองเห็นแง่มุมที่น่ารักของมันมาก่อน ก็อาจจะเปลี่ยนใจได้เมื่อมาเห็นภาพของเหล่าสุนัขจิ้งจอกที่หมู่บ้านจิ้งจอกซาโอะ จ. มิยางิ ซึ่งมีสุนัขจิ้งจอกอยู่ทั้งหมด 6 สายพันธุ์ และมีจำนวนรวมกันมากกว่าร้อยตัว รวมทั้งมีการแบ่งโซนเป็นกรง และโซนที่ปล่อยให้ใช้ชีวิตตามธรรมชาติอย่างอิสระ ทำให้เราสามารถให้อาหาร ถ่ายภาพ และเฝ้ามองบรรดาจิ้งจอกเหล่านี้ได้อย่างใกล้ชิด
ภาพจำของสุนัขจิ้งจอกในหมู่บ้านแห่งนี้ คือภาพของเหล่าสุนัขจิ้งจอกขนปุยสีน้ำตาลที่นอนขดตัวกลมหรือวิ่งเล่นไปมาบนพื้นหิมะสีขาว (แต่นักท่องเที่ยวสามารถมาเยือนได้ตลอดทั้งปี ทุกฤดู) โดยข้อควรระวังที่ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดสำหรับใครที่มาเยือนหมู่บ้านจิ้งจอกแห่งนี้ คือห้ามสัมผัสกับสุนัขจิ้งจอกโดยไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล และห้ามป้อนอาหารให้สุนัขจิ้งจอกด้วยมือโดยตรง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้
การเดินทาง : จากโตเกียว ขึ้นรถไฟชินคันเซนมาลงที่สถานี Shiroishizao (1 ชั่วโมง 50 นาที สามารถใช้ JR Pass ได้) จากนั้นต่อรถแท็กซี่ไปยังหมู่บ้านสุนัขจิ้งจอก (25 นาที ประมาณ 4,000 เยน)
เวลาเปิดทำการ : 1 ธันวาคม – 15 มีนาคม 09.00 – 16.00 น.
16 มีนาคม – 30 พฤศจิกายน 09.00 – 17.00 น.
ปิดทุกวันพุธ (ยกเว้นในเดือนกุมภาพันธ์และสิงหาคม)
ค่าเข้าชม : 1,000 เยน ให้อาหารจิ้งจอกครั้งละ 100 เยน (ไม่บังคับ)
3. สวนสาธารณะนารา จ. นารา (Nara Park, Nara)
นาราถือเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวทุกคนรู้จักกันดีในฐานะเมืองแห่งกวาง ซึ่งเมื่อเดินทางมาถึงบริเวณสวนสาธารณะนาราแล้ว ก็จะได้พบกับกวางจำนวนมากที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ และเราสามารถซื้ออาหารป้อนให้กับกวางเหล่านี้ได้โดยตรง ถือเป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร และช่วยสร้างบรรยากาศที่น่าประทับใจระหว่างการเดินชมสถานที่ชื่อดังภายในเมืองอย่างวัดโทไดจิ หรือวัดโคฟุคุจิที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน
แต่การไปเจอกวางที่นารานั้นก็มีข้อควรระวังอยู่เล็กน้อย เนื่องจากกวางหลายตัวในปัจจุบันเริ่มคุ้นชินกับการมีมนุษย์มาป้อนอาหารให้ จนทำให้ในบางครั้งกวางเหล่านี้อาจจะพยายามกินเอกสารหรือข้าวของต่างๆ ที่เราพกติดตัวมาด้วย รวมถึงในช่วงฤดูผสมพันธุ์ (ประมาณเดือนกันยายน-พฤศจิกายน) กวางเหล่านี้จะมีอารมณ์ดุร้าย และเสี่ยงต่อการทำร้ายผู้คนเป็นพิเศษ
การเดินทาง : จากเกียวโตขึ้นรถไฟสาย JR Nara Line มาลงที่สถานี Nara หรือจากโอซาก้าขึ้นรถไฟสาย Kintetsu Nara Line มาลงที่สถานี Kintetsu Nara
เวลาเปิดปิด : เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
4. เกาะกระต่าย โอคุโนะชิม่า จ.ฮิโรชิม่า (Okunoshima, Hiroshima)
เกาะอีกแห่งหนึ่งที่มีสัตว์น่ารักไม่แพ้กับเกาะแมว ก็คือเกาะกระต่าย โอคุโนะชิม่า ตั้งอยู่ในจ. ฮิโรชิม่า บนเกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยบรรดากระต่ายขนปุยหลายร้อยตัวที่ใช้ชีวิตอยู่ตามธรรมชาติ แถมที่นี่ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถป้อนอาหารให้กับกระต่ายเหล่านี้ได้อีกด้วย โดยจะหิ้วผักต่างๆ เช่นแครอทมาฝากด้วยตัวเอง หรือจะซื้ออาหารเม็ดจากเจ้าหน้าที่บริเวณท่าเรือก็ได้ รับรองว่าเมื่อเหล่ากระต่ายได้เห็นอาหารในมือแล้ว ก็จะพากันเข้ามารุมล้อมอย่างใกล้ชิดอย่างแน่นอน
หลายคนอาจจะสงสัยว่าเกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยกระต่ายจำนวนมากที่ใช้ชีวิตอยู่ตามธรรมชาติได้อย่างไร ซึ่งอันที่จริงที่มาของกระต่ายเหล่านี้อาจจะดูโหดร้ายและน่าเศร้าสักเล็กน้อย เนื่องจากในสมัยสงครามโลก เกาะแห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ทดลองอาวุธเคมีต่างๆ ของทหารญี่ปุ่น โดยส่วนหนึ่งก็มีการนำกระต่ายมาเป็นสัตว์ทดลองนั่นเอง แต่เมื่อสงครามสิ้นสุดลงและเกาะถูกทิ้งร้าง เหล่ากระต่ายที่มีชีวิตรอดจากการทดลองจึงค่อยๆ แพร่พันธุ์จนมีจำนวนมากในปัจจุบัน
การเดินทาง : จากโอซาก้า ขึ้นรถไปชินคันเซนไปลงที่สถานี Mihara (1 ชั่วโมง 50 นาที 8,090 เยน ใช้ JR Pass ได้) จากนั้นขึ้นรถไฟสาย JR Kure ไปลงที่สถานี Tadanoumi (22 นาที 320 เยน) และขึ้นเรือจากท่าเรือไปยังเกาะกระต่าย (15 นาที 620 เยน ไปกลับ)
เวลาเปิดทำการ : 24 ชั่วโมง
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
5. อิซุ ชาโบเตน พาร์ค จ.ชิซึโอกะ (Izu Shaboten Park, Shizuoka)
เมื่อพูดถึงชื่อ “คาปิบาร่า” หลายคนอาจนึกไม่ออกว่าเจ้าสัตว์ชื่อนี้นั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร หากใบ้เพิ่มว่าเป็นหนูยักษ์ หรือเป็นสัตว์ตระกูลหนูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ก็อาจจะฟังดูน่ากลัวสักเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริงแล้วเจ้าคาปิบาร่านั้นเป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่มีความน่ารัก และหาดูได้ค่อนข้างยาก ซึ่งหนึ่งในที่ๆจะได้พบกับเจ้าคาปิบาร่านี้อย่างใกล้ชิดก็คือที่อิซุ ชาโบเตน พาร์ค จ.ชิซึโอกะ
ไม่ใช่แค่ความน่ารักของรูปร่างหน้าตาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เจ้าคาปิบาร่าเหล่านี้ยังมีไฮไลท์สำคัญในช่วงฤดูหนาว (ประมาณเดือนพฤศจิกายน – เมษายน) ที่ทางสวนสัตว์จะเตรียมบ่อออนเซ็นกลางแจ้งเอาไว้ให้พวกมันมาแช่คลายหนาว พร้อมกับใส่ผลส้มลงไปในบ่อเพื่อช่วยให้พวกมันมีสุขภาพดี และภาพของเจ้าคาปิบาร่าในบ่อออนเซ็นนั้นก็กลายเป็นอีกหนึ่งภาพจำที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากให้เดินทางมาดูด้วยตาตนเองสักครั้ง และก็ถือว่ามีชื่อเสียงไม่แพ้ลิงแช่ออนเซ็นที่นากาโน่เลย
การเดินทาง : จากโตเกียวขึ้นรถไฟชินคันเซนมาลงที่สถานี Atami (50 นาที ใช้ JR Pass ได้) และเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย JR Ito ไปลงที่สถานี Ito (22 นาที 320 เยน) จากนั้นขึ้นรถบัส Tokai Bus หรือรถแท็กซี่ต่ออีกประมาณ 25 นาที
เวลาเปิดทำการ : เดือนมีนาคม – เดือนตุลาคม 09.00 – 17.00 น.
เดือนพฤศจิกายน – เดือนกุมภาพันธ์ 09.00 – 16.00 น.
ค่าเข้าชม : 2,300 เยน
6. สวนพฤกษศาสตร์เขตร้อน เมืองฮาโกดาเตะ (Tropical Botanical Garden, Hakodate)
ลิงแช่ออนเซ็นนั้นถือเป็นภาพที่โด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และได้กลายเป็นหนึ่งในภาพจำของฤดูหนาวในประเทศญี่ปุ่นที่ไม่เหมือนใคร แต่อันที่จริงแล้วลิงแช่ออนเซ็นไม่ได้มีอยู่เพียงใน จ.นากาโน่เท่านั้น สำหรับใครที่มีแพลนเที่ยวญี่ปุ่นช่วงฤดูหนาวในแถบฮอกไกโด ก็สามารถแวะไปดูลิงแช่ออนเซ็นได้เช่นกันที่สวนพฤกศาสตร์เขตร้อน ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองฮาโกดาเตะ โดยที่สวนแห่งนี้จะมีการจัดบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้งเพื่อให้ฝูงลิงป่านับร้อยตัวมาแช่ในช่วงฤดูหนาว (ตั้งแต่เดือนธันวาคม - พฤษภาคม)
ส่วนใครที่ดูลิงแช่ออนเซ็นแล้วเกิดความรู้สึกอยากแช่น้ำร้อนคลายหนาวดูบ้าง ใกล้กับสวนพฤกศาสตร์แห่งนี้ก็เป็นที่ตั้งของรีสอร์ทยูโนะคาว่าออนเซ็น หนึ่งในสปารีสอร์ทขึ้นชื่อของเมืองฮาโกดาเตะ ที่มีทั้งบ่อแช่เท้ากลางแจ้งให้ใช้ฟรี ไปจนถึงไฮไลท์อย่างบ่อน้ำพุร้อนที่มีวิวเป็นทะเลกว้างใหญ่ให้มองออกไประหว่างแช่น้ำร้อน
การเดินทาง : จากสถานี Hakodete ขึ้นรถรางมาลงที่สถานี Yonokawaonsen จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 1 กิโลเมตร
เวลาเปิดปิด : 09.30 – 16.30 น.
ค่าเข้าชม : 300 เยน
7. พิพิธภัณฑ์ปรสิตวิทยาเมกุโระ โตเกียว (Meguro Parasitological Museum, Tokyo)
จากสุนัขจิ้งจอก ลิง กวาง แมว กระต่าย หรือคาปิบาร่าที่ได้แนะนำไป ก็อาจจะไม่แปลกเท่ากับสถานที่ที่จะแนะนำเป็นการปิดท้ายนี้ เพราะที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ปรสิตวิทยาเมกุโระ ที่ให้ทุกคนได้ชมสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเช่นพยาธิ ปรสิตต่างๆ ที่มีรูปร่างหน้าตาแสนประหลาด โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 1953 และนำเสนอตัวอย่างปรสิตจำนวน 300 ตัวอย่างที่มีทั้งหนอนและพยาธิรูปแบบต่างๆ
แม้ว่าอาจจะฟังดูน่ากลัว แต่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็ตั้งใจถ่ายทอดความรู้เรื่องปรสิตให้กับคนทั่วไปอย่างจริงจัง และถือเป็นสิ่งที่คนทั่วไปแบบเราๆ แทบไม่มีโอกาสได้ศึกษาหรือเห็นตัวอย่างอย่างใกล้ชิดเท่ากับการได้มาเยือนที่นี่ และสำหรับใครที่ถูกใจความน่ารักน่าชังของเหล่าปรสิตชนิดต่างๆ ทางพิพิธภัณฑ์ก็มีโซนร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าต่างๆ เช่นเสื้อยืดและพวงกุญแจลายปรสิตเพื่อเป็นของที่ระลึกอีกด้วย
การเดินทาง : ขึ้นรถไฟสาย Yamanote หรือรถไฟใต้ดินสาย Mita หรือ Namboku ไปลงที่สถานี Meguro จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 1 กิโลเมตร
เวลาเปิดปิด : 10.00 – 17.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์)
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
ผู้เขียน: ชินพงศ์ มุ่งศิริ
เริ่มต้นทำงานเป็นช่างภาพอิสระหลังเรียนจบ เดินทางไปถ่ายภาพที่ประเทศญี่ปุ่นบ่อยครั้งจนครบทั้ง 4 ฤดูอันสวยงาม และเกือบครบทุกภูมิภาค มีผลงานภาพถ่ายตีพิมพ์ในไกด์บุ๊คระดับโลกอย่าง Lonely Planet ถึง 3 เล่ม คือ Discovery Japan, Japan และ Kyoto รวมถึงเว็บไซต์ท่องเที่ยวชั้นนำอย่าง National Geographic Traveler UK, BBC Travel, Travel+Leisure, TIME และอีกมาก
นอกจากการถ่ายทอดความสวยงามของประเทศญี่ปุ่นผ่านภาพถ่าย ปัจจุบันยังหันมาถ่ายทอดเรื่องราวผ่านทางตัวอักษรทั้งในฐานะนักเขียนและนักแปลควบคู่กันไปอีกด้วย