รวมย่านในญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยแฟชั่นแปลกตา
นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงาม ญี่ปุ่นยังขึ้นชื่ออย่างมากเรื่องของวัฒนธรรม ที่แสดงออกผ่านการแต่งกาย ที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นระดับโลก ไม่ใช่แค่เรื่องของการแต่งตัวแปลกๆเดินไปเดินมาเพื่อเรียกเสียงแฟลชจากกล้องของนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่บางแฟชั่นมันยังสะท้อนแนวคิดและจิตวิญญาณของสังคมญี่ปุ่นผ่านออกมาด้วย
1.แฟชั่นโลลิต้า (Lolita) ที่ฮาราจูกุ
แน่ใจว่าถ้าใครเดินพ้นสถานีรถไฟ Harajuku แล้วมุ่งหน้าไปยังถนน Takeshita Dori จะได้เห็นภาพของสาวน้อยที่แต่งตัวฟรุ้งฟริ้งกระโปรงฟูฟ่องผมม้วนเป็นลอนหลายนางผ่านตาเป็นแน่ ก็เพราะว่าที่ย่านฮาราจูกุแห่งนี้เป็นต้นกำเนิดของสตรีทแฟชั่นหลากสไตล์ โดยเฉพาะ “แฟชั่นโลลิต้า” สำหรับสาวญี่ปุ่นที่รักในความเป็นเจ้าหญิงสุดหัวใจ ที่บรรดาสาวๆที่มีรสนิยมเดียวกันก็จะแต่งตัวสไตล์นี้มารวมตัวกัน ให้เราได้แชะและชมแบบตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์
“แฟชั่นโลลิต้า” ได้แรงบันดาลใจมาจากแฟชั่นศตวรรษที่ 19 ในยุควิคตอเรียน ชุดกระโปรงของแฟชั่นแบบโลลิต้าเหล่านี้มีที่มาจากชุดกระโปรงที่เจ้าหญิงหรือชนชั้นขุนนางใส่กันในยุคสมัยนั้นนั่นเอง จะมีลักษณะเด่นอยู่ที่การใช้ชุดลายลูกไม้ กระโปรงฟูๆมีจีบและโบว์เยอะๆ เดรสของแฟชั่นโลลิต้ามีสุ่มซ้อนกันหลายชั้นด้านในเพื่อให้กระโปรงดูพอง นอกจากนี้เค้าจะมีการใส่เครื่องประดับบนหัวหรือโบว์ให้เข้ากับชุดและถือร่มลูกไม้เดินไปไหนมาไหนด้วย และยังมีสไตล์แยกย่อยออกมาอีกมากมาย เช่นสไตล์ยอดฮิตของแฟชั่นโลลิต้าที่เรียกว่า “โกธิคโลลิต้า” ซึ่งเป็นแฟชั่นที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างแฟชั่นโลลิต้าเข้ากับแนวโกธิค ทำให้กลายเป็นแฟชั่นแนวดาร์คๆที่ใช้สีดำหรือสีม่วงเป็นหลัก แตกต่างจากแฟชั่นโลลิต้าที่ใช้สีขาวหรือสีชมพูอ่อนเป็นหลักนั่นเอง
ถนน Takeshita ย่านฮาราจูกุ
วิธีเดินทาง : จากสถานีรถไฟโตเกียว นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote มาลงที่สถานี Harajuku แล้วเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งอีกประมาณ 2 นาทีก็ถึงแล้ว
เวลาทำการ : 10.00-19.00 น. (ขึ้นกับแต่ละร้านด้วย)
วันหยุด : ไม่มี
ค่าใช้จ่าย :ไม่มี
2. เจอสาวGyaru (แกล) สุดเซี้ยวได้ที่ชิบูย่า
ภาพจำตั้งแต่แต่สมัยตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ถ้าให้พูดถึงแฟชั่นสุดเพี้ยนที่บัญญัตินิยามความสวยที่แปลกใหม่ให้กับชาวญี่ปุ่น ก็จะต้องนึกถึงแฟชั่นสาวแกลด้วยแน่ๆ (Gyaru)
ก่อนอื่นหากให้คำจำกัดความของความเป็น Gyaru ก็คือ การแสดงออกด้วยภาพลักษณ์ที่ฉูดฉาด, โดดเด่นและหลุดออกจากกรอบสังคมเดิมๆทั้งการแต่งตัวและการกระทำ และหากจะพูดให้เห็นภาพชัดๆของความเป็นGyaru ก็คือ การย้อมผมสีทอง, หัวฟู, แต่งหน้าจัด, ทาหน้าและตัวให้เป็นสีแทน, ใส่ขนตาหนาๆ แต่งตัวสีจัดๆ และมักไปรวมตัวกันเป็นกลุ่มๆในที่ๆมีผู้คนพลุกพล่านเช่น สถานีรถไฟ ห้างสรรพสินค้า และย่านเมืองที่คึกคักอย่างอิเคะบุคุโระ, ชินจูกุ, ฮาราจูกุ, ชิบูย่า โดยเฉพาะที่ย่านชิบูย่าเรียกได้ว่าที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของ Gyaru เลย
จะเห็นได้ว่าในห้างดังที่สุดในย่านนี้ Shibuya 109 เป็นแหล่งที่รวมร้านขายเสื้อผ้าที่มีเสื้อผ้าสำหรับแฟชั่น Gyaru อยู่หลายร้านและมีสาว Gyaru เดินไปเดินมามากที่สุด สำหรับการย้อมสีผม แต่งตัวจัดและแต่งหน้าจัดของแฟชั่น Gyaru นั้น มันไม่ได้เป็นแค่เรื่องแฟชั่นประหลาดๆ แต่จริงๆแล้วมันมีที่มาจากการต้องการการปลดปล่อยความเป็นตัวตนออกจากสิ่งแวดล้อมอันระเบียบจัดที่คาดหวังต่อผู้หญิงของญี่ปุ่น เช่นผู้หญิงญี่ปุ่นต้องผิวขาว ใส่ชุดสีเรียบร้อยไม่ฉูดฉาด ผมดำ เป็นต้น ฉะนั้นสาว Gyaru จึงแสดงออกทางตรงกันข้ามกับภาพเดิมๆผ่านแฟชั่นประหลาดๆนั่นเอง
ห้าง Shibuya 109 ย่านชิบูย่า
วิธีเดินทาง : จากสถานีรถไฟโตเกียว นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote มาลงที่สถานี Shibuya ออกทางออก Hachiko แล้วเงยมองด้านบนก็จะพบกับตึก Shibuya 109
เวลาทำการ : 10.00-21.00 น. (ขึ้นกับแต่ละร้านด้วย)
วันหยุด : ไม่มี
ค่าใช้จ่าย :ไม่มี
3.แฟชั่นเมดที่แค่เห็นก็ใจละลายที่ย่านอากิฮาบาระ
แฟชั่นและวัฒนธรรมอีกหนึ่งอย่างของญี่ปุ่นที่ดังไกลไปทั่วโลก นั่นก็คือแฟชั่นชุดเมดและเมดคาเฟ่ ของสาวๆสุดโมเอะที่แสนน่ารักมุ้งมิ้ง เป็นที่ถูกอกถูกใจของบรรดาโอตาคุ
ที่มาของแฟชั่นเมดและเมดคาเฟ่นั้นมีต้นกำเนิดมาจากการทำธุรกิจแนวร้านอาหารคอสเพลย์ ซึ่งเริ่มมีมาตั้งแต่ต้นปี 2000 ซึ่งในยุคนั้นเทรนด์การ์ตูนที่ฮิตที่สุดแนวหนึ่งคือแนวที่มีตัวละครเป็นสาวใช้หรือ "เมด" นั่นเอง เจ้าของธุรกิจในย่านอากิฮาบาระจึงเกิดริเริ่มทำคาเฟ่ที่มีจุดขายคือพนักงานภายในร้านจะแต่งคอสเพลย์เป็นเมดสไตล์ยุโรปมาคอยต้อนรับ บริการเสิร์ฟอาหารกับเครื่องดื่ม และสร้างความบันเทิงแก่ลูกค้าภายในร้าน
ซึ่งโดยปกติร้านอาหารทั่วไปจะเรียกลูกค้าว่า "คุณลูกค้า" เฉยๆ แต่สำหรับเมดคาเฟ่จะพิเศษตรงที่เมดมักจะเรียกลูกค้าผู้ชายว่า "นายท่าน" (Goshujinsama) ลูกค้าผู้หญิงว่า "คุณหนู" (Ojousama) เนื่องด้วยบทบาทของเมดจะถือว่าลูกค้าเปรียบเสมือนเจ้านายภายในคฤหาสน์ไฮโซ ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ พวกเธอทุกคนจึงต้องสวมบทบาทเป็นสาวรับใช้ คอยดูแลปรนนิบัตินายท่านกับคุณหนูเป็นอย่างดี จากจุดขายตรงนี้เองที่ทำให้ลูกค้าหลายๆท่านเกิดความประทับใจเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากได้เห็นเมดใส่ชุดน่ารักแล้ว ยังได้รับการบริการที่ดี มีกิจกรรมสนุกๆ มีอาหารอร่อยให้กิน เรียกได้ว่าเพลินตาและเพลินใจเลยทีเดียว ใครจะไม่เดินเข้าร้าน แต่แค่เดินไปในย่านอากิฮาบาระ ก็จะได้เห็นสาวๆเมด มายืนเรียกลูกค้ากันตามถนนเพียบ
ร้านเมด คาเฟ่ ในย่านอากิฮาบาระที่อยากแนะนำก็คือร้าน @home cafe (แอดโฮมคาเฟ่) ที่มีรางวัล "สถานที่เที่ยวยอดเยี่ยมแห่งปี 2015” การันตี
วิธีการเดินทาง : จากสถานีรถไฟโตเกียว นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote มาลงที่สถานี Akihabara ทางออก Akihabara Electric Town เดิน 6 นาที
เวลาเปิดทำการ : วันธรรมดา 11:00 - 22:00 น. วันหยุด 10:00 - 22:00 น.
วันหยุด : ไม่แน่นอน
อัตราค่าบริการ : 600 เยน + ค่าอาหาร เครื่องดื่ม และกิจกรรม
4.ย้อนตำนานร็อคกับชาว Rockability ที่สวน Yoyogi Tokyo
ในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางกรุงโตเกียวอย่างสวน Yoyogi นอกจากเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้คนแล้ว ที่นี่ยังเป็นพื้นที่คนหลายกลุ่มรวมตัวกันทำกิจกรรมสนุกๆในวันหยุดด้วย หนึ่งในนั้นคือกลุ่ม Tokyo Rockabilly Club กลุ่มคนผู้หลงใหลในเพลงร็อคตะวันตกในยุค 50 ที่จะแต่งตัวซ่าๆด้วยเสื้อคลุมหนังสีดำ ทำผมทรงกระบังทาเจลหนาๆหรือสาวก็จะใส่กระโปรงพริ้วลายจุดสีสด พร้อมเสื้อแจ๊คเก็ตสไตล์จิ๊กโก๋จิ๊กกี๋ยุคเอลวิส เพรสลีย์ มารวมตัวทุกวันอาทิตย์เพื่อมาโยกย้ายส่ายเข่ากับเพลงที่เค้านำมาเปิดสไตล์ร็อคอะบิลิที (Rockabilly) ที่เป็นเพลงชนิดหนึ่งที่ผสมผสาน “ร็อคแอนด์โรล” เข้ากับเพลงคันทรี
ความเป็นมาของกลุ่ม Tokyo Rockabilly เกิดขึ้นช่วงยุค ’70s ที่ประเทศญี่ปุ่นมีการรื้อฟื้นวัฒนธรรมต่างๆกลับมาอีกครั้ง ทั้งในรูปแบบเพลงและการแต่งตัว โดยกลุ่มนี้ได้แรงบันดาลใจจากแก๊ง Kaminari Zoku ในยุค’50s ที่มักพัวพันกับกิจกรรมอันตรายต่างๆและชอบแต่งตัวในลุคชุดหนังและขี่มอเตอร์ไซค์ ในทุกๆเช้าเลยไปถึงเย็นของวันอาทิตย์กลุ่มนี้จะเป็นอีกหนึ่งสีสันแฟชั่นที่เรียกความสนใจได้จากนักท่องเที่ยวมากเช่นกัน
สวน Yoyogi
วิธีเดินทาง : นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote ลงที่สถานี Harajuku เดิน 9 นาที หรือนั่งรถไฟใต้ดินมางที่สถานี Yoyogi-Koen เดินอีก 2 นาที
เวลาทำการ : 5.00 - 20.00 น.
วันหยุด : ไม่มี
ค่าใช้จ่าย : ฟรี
5.ไปชมเกอิชาในชุดกิโมโน ที่ย่านกิออง เกียวโต
หากจะซึมซับภาพของความเป็นญี่ปุ่นสมัยก่อน ก็ขอแนะนำว่าไม่ควรพลาดย่านกิออง ที่เมืองเก่าอย่างเกียวโต กิออง(Gion)ย่านท่องเที่ยวสุดคลาสสิคยามราตรีของเมืองเกียวโต ด้วยที่นี่มีการผสมผสานความเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนญี่ปุ่นทั้งอาคารบ้านเรือนไม้ที่เรียกว่า Machiya ตั้งแต่สมัยเก่าก่อน และเรายังสามารถเห็นเกอิชา (นักเอนเตอร์เทนชาวญี่ปุ่นในชุดกิโมโน) เดินไปๆมาๆในบริเวณนี้ได้ในแทบจะทุกๆค่ำคืน ซึ่งสาวๆเกอิชาจะเดินตามถนนเส้นหลัก Hanami-koji ซึ่งเป็นเส้นที่อยู่ระหว่างถนนใหญ่ Shijo-dori และวัด Kenninji เส้นนี้จะเต็มไปด้วยร้านรวงประเภทร้านอาหารและร้านน้ำชามากมาย เมื่อย่ำค่ำสาวๆเกอิชาและไมโกะ (นักเอนเตอร์เทนฝึกหัด) ก็จะเดินออกมาตามถนนเพื่อตรงไปที่ร้านที่เธอเหล่านั้นทำงานอยู่ ซึ่งในร้านของย่านกิอองนี้ จะมีการแสดงโชว์ศิลปะของญี่ปุ่นโบราณๆโดยเกอิชาและไมโกะให้ชมภายในร้าน ไม่ว่าจะเป็น การร่ายรำและการชงชา ไปจนถึงการแสดงดนตรี
การแต่งกายของเกอิชาและไมโกะนั้นจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างไปจากชาวญี่ปุ่นปกติเล็กน้อย โดยนอกจากการสวมชุดกิโมโนอย่างเต็มยศแล้ว ก็จะมีการทาหน้าขาวและปากแดงประดับตกแต่งบนศรีษะด้วยปิ่นเพื่อสร้างอรรถรสทางตาให้กับผู้พบเห็น นอกจากนั้นในมือยังมีการถืออุปกรณ์การเล่นดนตรีต่างๆเพื่อใช้ในการเอนเตอร์เนลูกค้าด้วย ทั้งนี้ ย่านกิอองเองจะคึกคักมาเป็นพิเศษเมื่อถึง เทศกาล Gion Matsuri ที่จะถูกจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคมของทุกปี
ย่านกิออง
วิธีการเดินทาง: เดินทางโดยรถบัส นั่งรถบัสสาย 100 หรือ 206 มาลงที่สถานี Gion เดินมาประมาณ 5 นาที หรือเดินทางโดยรถไฟสาย Keihan ลงที่สถานี Gion Shijo เดิน 5 นาที
วันหยุด : ไม่มี
ค่าใช้จ่าย : แล้วแต่ร้านค้า
6.แฟชั่นลายเสือของคุณป้าสุดแซ่บแห่งโอซาก้า
อายุเป็นเพียงตัวเลข จะเป็นป้าแต่ว่าใจก็ยังวัยรุ่น อีกหนึ่งนิยามของความเป็น Obachan (โอบะจัง) หรือคุณป้าในภาษาญี่ปุ่น แม้แต่ในหมู่คนญี่ปุ่นเองก็จะต้องรู้จักแฟชั่นสุดแซ่บของบรรดามนุษย์ป้าชาวโอซาก้าผู้น่ารักและเปรี้ยวที่สุดในสามโลก ผู้คนที่โอซาก้าโดยเฉพาะบรรดาคุณป้ามีความชื่นชอบการแต่งกายด้วยอะไรก็ได้ที่มีสีสันและลวดลายแรงๆ หนึ่งในนั้นก็คือลายเสือ ตั้งแต่เสือลายจุดๆแนว เสือดาวเล็กๆ ไปจนถึงหน้าเสือจากัวร์ขนาดใหญ่ที่พิมพ์เต็มตัวก็มีให้เห็นได้ไม่ยาก จนคนญี่ปุ่นเองเมื่อพูดถึง โอซาก้าโอบะจัง (คุณป้าชาวโอซาก้า) ก็จะนึกถึงคุณป้าอารมณ์ดีในชุดลายเสือขึ้นมาทันที
จริงๆแล้วแฟชั่นลายเสือนี้ มีต้นกำเนิดมาจาก ย่านถนนสายช้อปปิ้ง Tenjinbashisuji Shotengai ในโอซาก้า ซึ่งเป็นย่านการค้าที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่นระยะทาง 2.6 กม. แห่งนี้ ที่เริ่มมาจากแค่มีลูกค้ามาถามหาเสื้อลายเสือใส่เพราะวันนั้นอยากให้ตัวเองรู้สึกมีพลังมากขึ้น คนขายก็เลยลองเอามาวางขายดูจนตอนนี้เป็นที่นิยมกันไปทั่วยิ่งตอนนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะคุณป้าเท่านั้น บรรดาลูกหลานของคุณป้าเองก็นิยมใส่ตามด้วย เพราะเหตุผลที่ว่า เสื้อลายเสือจะจับคู่กับอะไรที่สีเรียบๆใส่ก็เข้าได้ง่ายไปหมดฉะนั้นคุณป้าชาวโอซาก้าจึงนิยมใส่ แต่เหตุผลที่สำคัญกว่านั้นคือในวันที่คุณท้อแท้หรือต้องการพลังเพื่อปลุกตัวเอง การเลือกใส่เสื้อที่มีลายแรงๆ เช่นลายเสือนั้นมันเป็นตัวเรียกพลังได้ดีมากๆ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมเวลาเราไปเดินเที่ยวที่ถนนสายช้อปปิ้งที่นี่แล้วจะมีคุณป้าในร่างกึ่งเสือเดินกันขวักไขว่ และจะต้องมีหนึ่งในนั้นคอยช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่และคึกคักถึงแม้จะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ตาม
Tenjinbashisuji
วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินสาย Tanimachi หรือสาย Sakaisuji ลงที่สถานี Minaminorimachi หรือ นั่งรถไฟ JR สายTozai ลงสถานี Osaka Tenmangu
เวลาทำการ : 10.00 - 20.00 น.(แล้วแต่ร้านค้า)
วันหยุด : ไม่มี
ค่าใช้จ่าย : ฟรี
ผู้เขียน: Suphatthra
เป็นคนที่รักการเขียน รักการอ่าน รักการออกไปดูโลกกว้าง เฮฮา บ้าบอ ขาลุย และรักญี่ปุ่น