5 ที่เที่ยวลับๆในโอซาก้าที่อยากให้คุณรู้จัก
โอซาก้าถือเป็นเมืองใหญ่อันทันสมัยที่เป็นศูนย์กลางด้านความบันเทิง ช้อปปิ้ง และกินเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคน แต่นอกจากการแวะไปเที่ยวที่ดังๆ อย่างปราสาทโอซาก้าหรือป้ายกูลิโกะแล้ว วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับที่เที่ยวลับๆ ทั้งตรอกร้านกินดื่มแบบย้อนยุค พิพิธภัณฑ์จำลองบ้านในอดีต ชิงช้าสวรรค์ทรงแปลกๆ ไปจนถึงเจดีย์ทรงปิรามิดที่ไม่เหมือนที่ใดในญี่ปุ่น
1. โฮเซนจิ โยโคโช ตรอกร้านกินดื่มในบรรยากาศย้อนยุค (Hozenji Yokocho)
ไม่ไกลจากย่านโดทงบุริอันพลุกพล่านและป้ายกูลิโกะที่เป็นแลนด์มาร์คของโอซาก้า มีตรอกเล็กๆ ที่ชื่อว่า “โฮเซนจิ โยโคโช” ซึ่งบรรยากาศภายในตรอกแห่งนี้แตกต่างจากบริเวณรอบนอกอย่างสิ้นเชิง เพราะตลอดสองข้างทางภายในตรอกแห่งนี้เต็มไปด้วยบ้านเรือนอายุหลายร้อยปี แม้กระทั่งพื้นทางเดินเองก็ยังเป็นพื้นที่ปูด้วยกระเบื้องหิน และมีแสงสว่างจากโคมไฟญี่ปุ่นที่ถูกแขวนเอาไว้หน้าร้านรวงต่างๆ ทำให้บรรยากาศภายในตรอกแห่งนี้เหมือนกับการย้อนเวลาไปยังยุคญี่ปุ่นโบราณ ซึ่งในย่านนี้จะเต็มไปด้วยร้านอาหารหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ร้านกินดื่มแบบอิซากายะ ผับ บาร์ และคาเฟ่
การเดินทาง : ขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Midosuji, Sennichimae หรือ Yotsubashi มาลงที่สถานี Namba จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 3 นาที
เวลาเปิดปิด : ร้านอาหารภายในตรอกจะเริ่มเปิดทำการตั้งแต่ช่วง 17.00 น. เป็นต้นไป
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
2. พิพิธภัณฑ์บ้านและความเป็นอยู่โอซาก้า (Osaka Museum of Housing and Living)
ภาพจำของโอซาก้าในปัจจุบันนั้นคือเมืองใหญ่อันทันสมัยและเต็มไปด้วยตึกสูงมากมายไม่แพ้โตเกียว แต่สำหรับใครที่อยากรู้ว่าก่อนที่โอซาก้าจะเจริญมาจนถึงขั้นนี้ บรรยากาศในอดีต รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนนั้นเป็นอย่างไร ทั้งหมดนี้ก็ได้มีการจำลองบรรยากาศให้เราได้สัมผัสและเรียนรู้อย่างใกล้ชิดที่พิพิธภัณฑ์บ้านและความเป็นอยู่โอซาก้า ซึ่งด้านในนั้นจะจำลองบ้านเรือนของโอซาก้าในยุคเอโดะตอนปลายไปจนถึงยุคโชวะจนเป็นเหมือนเมืองขนาดย่อมที่เราสามารถเดินเข้าไปได้จริงๆ ถือเป็นหนึ่งในจุดถ่ายรูปที่น่าสนใจสำหรับใครที่อยากได้รูปในบรรยากาศแบบย้อนยุค และพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมีชุดกิโมโนให้เช่าเพื่อถ่ายรูปอีกด้วย
การเดินทาง : ขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Sakaisuji หรือ Tanimachi มาลงที่สถานี Tenjimbashisuji 6-chome
เวลาเปิดปิด : 10.00 – 17.00 น. (ปิดทุกวันอังคาร)
ค่าเข้าชม : 600 เยน
3. ชิงช้าสวรรค์ดอนกิโฮเต้ (Don Quixote Ferris Wheel)
โอซ้าก้านั้นได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยชิงช้าสวรรค์หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ชิงช้าสวรรค์เทมโปซานริมอ่าวโอซาก้า หรือชิงช้าสวรรค์เฮปไฟว์สีแดงสดเหนือห้างสรรพสินค้าในย่านอูเมดะ แต่ในย่านท่องเที่ยวชื่อดังอย่างโดทงโบรินั้นก็มีชิงช้าสวรรค์ที่น่าสนใจอยู่เช่นกัน นั่นก็คือชิงช้าสวรรค์ของร้านดอนกิโฮเต้ ซึ่งจุดเด่นของชิงช้าสวรรค์อันนี้คือรูปลักษณ์ที่ไม่ได้เป็นวงกลมเหมือนชิงช้าสวรรค์อื่นๆ ที่เราคุ้นตา แต่จะมีลักษณะเป็นวงรีแคบๆ ขนานไปกับรูปทรงของตึกที่อยู่ใกล้เคียง และเมื่อดูจากชื่อของชิงช้าสวรรค์อันนี้ หลายคนอาจจะพอเดาได้ว่ามันเป็นของร้านขายของราคาถูกชื่อดังอย่าง “ดอนกิโฮเต้” หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ “ร้านดองกี้” นั่นเอง
การเดินทาง : ขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Midosuji, Sennichimae หรือ Yotsubashi มาลงที่สถานี Namba จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที
เวลาเปิดปิด : 11.00 – 23.00 น.
ค่าเข้าชม : 600 เยน
4. สวนสาธารณะชิโรคิตะ (Shirokita Park)
สำหรับใครที่มองหาพื้นที่สีเขียวใหม่ๆ ในโอซาก้าที่ไม่ซ้ำเดิม สวนสาธารณะชิโรคิตะถือเป็นหนึ่งในสวนที่สามารถแวะมาเยือนได้ในทุกฤดู โดยมีทั้งดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ ดอกไอริสในฤดูร้อน และดอกเบญจมาสหรือคิคุ (Kiku) ในฤดูใบไม้ร่วง โดยรวมกันแล้ว สวนแห่งนี้มีดอกไม้อยู่มากถึง 13,000 ต้น 250 สายพันธุ์ และยังเป็นสวนที่มีความเก่าแก่ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1964 และสวนแห่งนี้ยังถูกใช้เพื่อจัดกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตลาดนัด เทศกาลดนตรีในสวน ไปจนถึงเทศกาลดอกไอริสซึ่งเป็นไฮไลท์ในช่วงฤดูร้อนของสวนแห่งนี้
การเดินทาง : จากหน้าสถานี Osaka ขึ้นรถบัส City Bus สาย 34 ไปลงที่ป้าย Shirokita Koen (19 นาที 210 เยน)
เวลาเปิดปิด : เปิด 24 ชั่วโมง
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
5. เจดีย์โดโตะ (Doto Pagoda)
เมื่อพูดถึงเจดีย์ญี่ปุ่น หลายคนคงนึกถึงเจดีย์ห้าชั้นที่คุ้นตาและพบเห็นได้ตามวัดทั่วไป แต่เจดีย์โดโตะแห่งวัดโอโนะเดระนั้นเป็นเจดีย์ทรงปิรามิดที่สร้างขึ้นมาจากดิน มีความเก่าแก่มากกว่าพันปี ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในราวค.ศ. 700 และเชื่อว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากเจดีย์บุโรพุทธโธในประเทศอินโดนีเซีย ที่ถูกสร้างขึ้นในทรงปีระมิดแบบเดียวกัน
เจดีย์โดโตะมีความสูง 53.1 เมตร แต่ละชั้นของเจดีย์จะถูกหุ้มด้วยกระเบื้องเคลือบแบบญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่ามีจำนวนกระเบื้องที่ใช้สูงถึงหกหมื่นแผ่น ซึ่งในอดีตยังเคยมีการค้นพบกระเบื้องที่มีการจารึกผู้ร่วมสร้างเจดีย์แห่งนี้เอาไว้ ซึ่งมีทั้งพระและชาวบ้านทั่วไป โดยในปัจจุบัน เจดีย์โดโตะได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นหนึ่งในโบราณสถานของประเทศญี่ปุ่น และยังมีเจดีย์อีกหนึ่งแห่งที่มีลักษณะคล้ายกัน คือเจดีย์ซูโตะ (Zuto Pagoda) ในเมืองนารา ซึ่งสร้างขึ้นในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน
การเดินทาง : จากสถานี Namba ขึ้นรถไฟสาย Nankai-Koya ไปลงที่สถานี Fukai (30 นาที 420 เยน) และเดินต่อไปอีก 15 นาที
เวลาเปิดปิด : เปิด 24 ชั่วโมง
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี