โอซาก้า เกียวโต นารา เที่ยวเมืองไหนดี
ภูมิภาคคันไซถือเป็นภูมิภาคยอดฮิตของนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนประเทศญี่ปุ่น และยังมีเมืองที่น่าสนใจอยู่มากมายทั้งโอซาก้า เกียวโต และนารา จนหลายคนอาจไม่รู้ว่าควรวางแผนเที่ยวแบบใด หรือควรแวะไปเมืองไหนดี วันนี้เราจึงมาเปรียบเทียบข้อมูลกันชัดๆ ทั้งในด้านของบรรยากาศ ที่เที่ยว ที่พัก และฤดูกาลต่างๆ เพื่อให้ทุกคนสามารถนำไปตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น
โอซาก้า
เมืองศูนย์กลางของภูมิภาคคันไซ ที่เป็นที่ตั้งสนามบินหลักที่ใช้ในการเดินทางตรงจากประเทศไทย และยังเดินทางไปยังเมืองรอบๆ ด้วยรถไฟได้อย่างสะดวกสบาย บวกกับความเป็นเมืองใหญ่อันดับสามของญี่ปุ่น ทำให้โอซาก้าเป็นเมืองที่มีความครบครันในทุกๆ ด้านไม่แพ้เมืองหลวงอย่างโตเกียว โดยเฉพาะในแง่ของการช้อปปิ้ง กิน ดื่ม และความบันเทิงต่างๆ ซึ่งสามารถตอบสนองนักท่องเที่ยวได้อย่างครบครัน
ภายในเมืองโอซาก้ามีรถไฟฟ้าใต้ดินอยู่ถึง 8 สาย และเมื่อบวกกับ JR อีกหนึ่งสายที่วิ่งเป็นวงกลมรอบเมืองอย่าง Osaka Loop Line ก็เรียกได้ว่าครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญภายในเมืองแทบทุกแห่ง จึงถือเป็นเมืองที่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้ในช่วงโมงเร่งด่วนจะมีผู้คนพลุกพล่าน แต่บนรถไฟก็ไม่ได้แน่นเป็นปลากระป๋องในระดับเดียวกับที่เราเคยได้ยินในโตเกียว
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่อยากย้ายโรงแรมบ่อยๆ และอยากปักหลักในเมืองเดียวยาวไปเลย โอซาก้าถือเป็นเมืองที่เหมาะสมที่สุด ทั้งด้วยความสะดวกในการเดินทางที่สามารถเดินทางเช้าไปเย็นกลับหลายที่ในเกียวโตและนาราก็ได้ และตัวเลือกที่พักที่มีให้เลือกทุกรูปแบบ โดยเฉพาะที่พักราคาประหยัดที่มีให้เลือกในแทบทุกย่านตามความต้องการ
และในแง่ของฤดูกาล โอซาก้าถือเป็นเมืองที่มีจุดชมซากุระอยู่มากมายในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และมีเทศกาลฤดูร้อนดังๆ รวมถึงงานดอกไม้ไฟที่ขึ้นชื่อ แต่จะมีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีในตัวเมืองค่อนข้างน้อย ซึ่งจะต้องไปหาชมที่เมืองรอบๆ แทน ส่วนหิมะนั้นแทบไม่ตก คนที่อยากดูหิมะโดยเฉพาะไปเมืองอื่นจะเหมาะสมกว่า
ที่เที่ยวในโอซาก้า
1. ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เจแปน สวนสนุกชื่อดังที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากจากการจำลองโลกแห่งเวทย์มนต์ในเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ มาให้สัมผัสกันอย่างสมจริง และยังมีส่วนที่จำลองบรรยากาศของภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่องอื่นๆ และอนิเมะชื่อดังของญี่ปุ่นรวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยเครื่องเล่นหลากหลายรูปแบบซึ่งหากเป็นแฟนของภาพยนต์เหล่านี้ละก็ สามารถใช้เวลาสนุกได้ตลอดทั้งวัน
2. ย่านนัมบะ ย่านช้อปปิ้งกินดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโอซาก้าที่เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และร้านค้ามากมาย และยังเชื่อมต่อไปยังย่านดังอื่นๆ อย่างย่านโดทงโบริและย่านชินไซบาชิ ซึ่งเป็นที่ตั้งของป้ายไฟกูลิโกะ หนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองโอซาก้าที่ใครๆ ต่างก็แวะไปถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ทำให้เป็นจุดที่มีผู้คนพลุกพล่านตลอดทั้งวัน และสามารถเที่ยวได้ทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน
3. ปราสาทโอซาก้า แลนด์มาร์คอันดับหนึ่งของโอซาก้า และยังถือเป็นปราสาทที่มีความสำคัญอย่างมากในประวัติศาสตร์ยุครวมชาติของประเทศญี่ปุ่น พื้นที่รอบปราสาทถือเป็นจุดชมดอกบ๊วยและดอกซากุระที่ขึ้นชื่อของเมือง ส่วนภายในปราสาทนั้นมีการจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเรื่องราวในอดีต และชั้นบนสุดของปราสาทยังเป็นจุดชมวิวมุมสูงที่สามารถมองเห็นวิวเมืองโอซาก้าได้โดยรอบโดยไม่โดนอะไรบัง
เกียวโต
เกียวโตถือเป็นเมืองที่มีบรรยากาศแตกต่างจากโอซาก้าแบบคนละขั้ว เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองที่เต็มไปด้วยวัดและศาลเจ้าเก่าแก่ รวมไปถึงบรรยากาศแบบญี่ปุ่นโบราณที่สามารถสัมผัสได้ในทุกมุมเมืองอย่างที่หลายคนรู้จักกันดีแล้ว แต่ภายในเมืองก็ยังมีแหล่งช้อปปิ้งที่สามารถหาซื้อของได้หลากหลายไม่แพ้เมืองใหญ่ๆ เพราะมีทั้งห้าง Isetan, Yodobashi และ Takashimaya Kyoto ไปจนถึงตลาดเก่าแก่อย่างตลาดนิชิกิ (Nishiki Market) โดยเฉพาะสำหรับใครที่มองหาของใช้ส่วนตัวหรือของฝากที่มีคุณค่าและไม่เหมือนใคร ในเกียวโตนั้นเต็มไปด้วยร้านรวงเก่าแก่ที่ผลิตเสื้อผ้า กระเป๋า ถ้วยชาม และเครื่องใช้อื่นๆ ที่ผลิตขึ้นจากวัตถุดิบชั้นดีในท้องถิ่นโดยช่างฝีมือขึ้นชื่อมากมาย
ในด้านที่พัก เกียวโตถือเป็นเมืองขนาดกลางที่มีที่พักค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณนักท่องเที่ยว และราคาเฉลี่ยก็จะค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับโอซาก้า แต่จุดเด่นของเกียวโตก็คือเป็นเมืองที่มีเรียวกังหรูอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งแบบที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่า และตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ ซึ่งจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ชั้นเลิศทั้งในแง่ของการบริการ อาหาร และบรรยากาศแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ส่วนใครที่มองหาที่พักราคาประหยัดก็ไม่ต้องน้อยใจ เพราะแม้แต่ที่พักราคาถูกในเกียวโตหลายๆ แห่ง ก็ยังมีบรรยากาศแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมให้สัมผัส เพราะอาคารส่วนใหญ่ในเมืองนั้นได้รับการอนุรักษ์เอาไว้ ทำให้แม้จะถูกดัดแปลงมาเป็นที่พัก แต่ก็ยังคงกลิ่นอายของความเก่าแก่ดั้งเดิมเอาไว้ค่อนข้างสมบูรณ์
ข้อเสียสำคัญในแง่การเดินทางในเมืองเกียวโตก็คือเป็นเมืองที่มีรถไฟใต้ดินอยู่เพียง 2 สาย ซึ่งแม้จะบวกกับรถไฟสายอื่นๆ ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเพียงไม่กี่แห่งที่สามารถขึ้นรถไฟไปเที่ยวได้อย่างสะดวกสบาย ทำให้รูปแบบการท่องเที่ยวภายในเมืองนั้นต้องพึ่งพารถบัสเป็นหลัก และมีโอกาสสูงมากที่จะเจอกับการจราจรที่ค่อนข้างติดขัดเมื่อเทียบกับเมืองอื่นในญี่ปุ่น
เกียวโตถือเป็นเมืองที่สามารถแวะมาเยือนได้ทุกฤดูกาล โดยเฉพาะฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่มีความสวยงามจนดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนเป็นจำนวนมาก และในฤดูร้อนก็ยังมีเทศกาลกิออน หนึ่งในสามเทศกาลฤดูร้อนที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และที่พิเศษคือในช่วงฤดูหนาวนั้น ก็ยังมีโอกาสพบเจอหิมะตกภายในเมืองได้อีกด้วย (มีโอกาสเจอหิมะสูงกว่าเมืองใกล้เคียงอย่างโอซาก้าพอสมควร)
ที่เที่ยวในเกียวโต
1. วัดคินคะคุจิ แลนด์มาร์คของเมืองเกียวโตที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากตัวอาคารหลักของวัดที่มีสีทองโดดเด่นและงดงามตั้งอยู่กลางสระน้ำ ในอดีตยังถูกใช้เป็นที่พำนักของโชกุน และเป็นหนึ่งใน 17 สถานที่ของเมืองเกียวโตที่ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้อีกด้วย
2. ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ ศาลเจ้าซึ่งเป็นที่รู้จักจากอุโมงค์เสาโทริอินับพันต้นที่ทอดยาวตามทางเดินขึ้นไปบนภูเขา ถือเป็นหนึ่งในศาลเจ้าเก่าแก่และมีความสำคัญอย่างสูงของเมืองเกียวโต ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพอินาริ หรือเทพสุนัขจิ้งจอง ซึ่งเป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรื่อง
3. อาราชิยาม่า เมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของเกียวโตที่สามารถสัมผัสกับธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์และงดงาม รวมถึงเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่างวัดเทนริวจิ สะพานโทเก็ทสึเคียว และป่าไผ่อาราชิยาม่า ถือเป็นจุดที่สามารถชมดอกซากุระและใบไม้เปลี่ยนสีได้อย่างดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในเกียวโต และยังมีรถไฟสายโรแมนติกที่จะแล่นไปตามหุบเขาเพื่อพานักท่องเที่ยวไปชมกับความงามอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
นารา
เชื่อว่าเกินครึ่งของคนที่ต้องการแวะมาเที่ยวนารานั้น เกิดจากความต้องการแวะมาสัมผัสความน่ารักของฝูงกวางที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์และภาพจำของเมืองนี้ แต่นอกจากกงางแล้ว นารายังถือเป็นเมืองที่ดีตรงที่เดินทางสะดวก เพราะสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังต่างๆ ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันทั้งหมด สามารถใช้เวลาเพียงครึ่งวันหรือหนึ่งวันเดินเที่ยวสถานที่แต่ละแห่งไปเรื่อยๆ ได้อย่างเพลิดเพลิน
แม้นาราจะเป็นตัวเลือกแบบ 1 Day Trip สำหรับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ แต่หากไม่รีบร้อนและไม่ลำบากในการเปลี่ยนที่พัก การแวะมาพักค้างคืนในนารานั้นก็มีเสน่ห์ไม่แพ้เมืองอื่นๆ โดยเฉพาะการได้ตื่นเช้ามาเดินในสวนสาธารณะนาราที่ปราศจากนักท่องเที่ยว มีเพียงฝูงกวางที่ออกหากินในตอนเช้า ถือเป็นภาพที่แตกต่างจากการแวะมาเที่ยวในช่วงกลางวันอย่างสิ้นเชิง
ในด้านฤดูกาล สวนสาธารณะนารานั้นมีทั้งต้นซากุระหลายร้อยต้น รวมถึงต้นเมเปิ้ลและแปะก๊วยอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้มีความสวยงามเป็นพิเศษในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีและฤดูใบไม้ผลิ ส่วนในฤดูร้อนก็มีเทศกาลที่เป็นไฮไลท์อย่าง “เทศกาลเผาภูเขาวะกะคุซะ (Wakakusayama no Yamayaki)” ซึ่งจัดขึ้นด้วยความเชื่อว่าจะทำให้เมืองปลอดภัยและสงบสุข และยังมีการจุดดอกไม้ไฟเป็นจำนวนมากในวันเดียวกัน
คำแนะนำเล็กน้อยสำหรับการแวะมาเที่ยวนาราก็คืออย่าไว้ใจบรรดากวางมากนัก และควรเก็บเอกสารรวมถึงสิ่งของสำคัญต่างๆ ให้มิดชิด เพราะกวางหลายตัวในเมืองเริ่มคุ้นชินกับการถูกนักท่องเที่ยวป้อนอาหาร จนเข้าใจว่าสิ่งที่อยู่ในมือหรือในตัวนักท่องเที่ยวนั้นเป็นอาหารของมันทั้งหมด และที่ผ่านมาก็เคยมีข่าวกวางกินตั๋วรถไฟของนักท่องเที่ยวมาแล้ว
ที่เที่ยวในนารา
1. สวนสาธารณะนารา สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่เปรียบเสมือนศูนย์กลางในการท่องเที่ยวของเมือง บรรยากาศภายในสวนมีความสงบร่มรื่น และเต็มไปด้วยฝูงกวางที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ พื้นที่โดยรอบยังเป็นที่ตั้งของวัดและศาลเจ้าสำคัญหลายแห่ง ทั้งวัดโทไดจิ วัดโคฟุคุจิ และศาลเจ้าคาสุงะ ไทฉะ
2. วัดโทไดจิ หนึ่งในวัดสำคัญของเมืองนารา ซึ่งภายในอาคารหลักของตัววัดนั้นเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปไดบุทสึที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีความสูงถึง 15 เมตร ตัวอาคารหลักยังถือเป็นอาคารไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยทางเข้าวัดจะอยู่ติดกับสวนสาธารณะนารา และมีผู้คนทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนตลอดทั้งวัน
3. ศาลเจ้าคาสุงะ ไทฉะ ศาลเจ้าเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยที่นาราเป็นเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น และปัจจุบันยังเป็น 1 ใน 8 สถานที่ในเมืองนาราที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก จุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้คือตะเกียงจำนวนมากที่ทั้งเรียงรายอยู่สองข้างทางเดินและตามจุดต่างๆ ภายในศาลเจ้า ซึ่งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และสิงหาคม ศาลเจ้าแห่งนี้ยังมีการจัดเทศกาลเพื่อจุดตะเกียงทุกดวงในศาลเจ้าพร้อมๆ กันในยามค่ำคืน
การเดินทางระหว่างแต่ละเมือง
การเดินทางไปยังเมืองทั้งสามแห่งด้วยรถไฟถือเป็นรูปแบบการเดินทางหลักที่มีความสะดวกสบายมากที่สุด โดยระยะเวลาในการเดินทางระหว่างเมืองต่างๆ คือ โอซาก้า-เกียวโต 30 นาที โอซาก้า-นารา 50 นาที และเกียวโต-นารา 1 ชั่วโมง
สิ่งสำคัญที่ต้องสังเกตคือรถไฟระหว่างเมืองในเขตภูมิภาคคันไซนั้นจะมีอยู่หลากหลายบริษัท ที่พบมากที่สุดคือบริษัท JR และ Kintetsu ที่มีเส้นทางวิ่งครอบคลุมทั้งสามเมืองที่กล่าวมา และอาจมีชื่อสถานีและตำแหน่งของสถานีที่ใกล้เคียงกันจนอาจก่อให้เกิดความสับสนได้ จุดสังเกตคือชื่อสถานีและชื่อสายรถไฟจะมีชื่อของบริษัทนั้นๆ นำหน้า เช่นสถานี Kintetsu Nara หรือสายรถไฟ JR Nara Line
โดยหากไม่ได้ถือพาสที่จำกัดเฉพาะรถไฟของแต่ละบริษัทแล้ว รูปแบบการบริการและเวลาในการเดินทางนั้นแทบไม่ได้แตกต่างกัน ในการตัดสินใจว่าจะเลือกขึ้นรถไฟของบริษัทใด สามารถใช้หลักง่ายๆ ได้ทั้งการตรวจสอบดูว่าเราอยู่ใกล้สถานีของบริษัทใดมากที่สุด หรือรอบรถไฟของบริษัทใดใกล้เคียงกับแผนการเดินทางของเรามากที่สุด
เคล็ดลับสำหรับใครที่จะไปเมืองนารา ไม่ว่าจะขึ้นรถไฟจากโอซาก้าหรือเกียวโต แนะนำให้ขึ้นรถไฟของบริษัท Kintetsu เพราะตัวสถานีของบริษัทนี้จะอยู่ใกล้กับสวนสาธารณะนาราในระดับที่สามารถดินต่อไปได้จากสถานีได้ แตกต่างจากสถานี JR Nara ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปประมาณ 2.5 กิโลเมตร ซึ่งต้องเสียเวลาต่อรถบัสจากหน้าสถานีเพิ่มอีกทั้งขาไปและขากลับ
สรุป
โอซาก้า... เป็นเมืองสำหรับช้อปปิ้งและความบันเทิง การเดินทางภายในเมืองสะดวกสบาย ใช้เวลา 2-4 วันก็สามารถเก็บที่เที่ยวภายในเมืองได้ครบทุกแห่ง
เกียวโต... เป็นเมืองสำหรับสัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม เต็มไปด้วยวัดและศาลเจ้าเก่าแก่ รูปแบบการเที่ยวจะไม่ใช่แค่การแวะไปเที่ยวสถานที่แต่ละแห่ง แต่ยังเป็นการเดินชมบรรยากาศในแต่ละมุมเมือง ยิ่งหากเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้เปลี่ยนสี จะมีจุดให้ชมความสวยงามอยู่เป็นจำนวนมาก จึงแนะนำให้ใช้เวลาเที่ยวมากกว่า 4 วันขึ้นไป
นารา... เมืองเล็กๆ ที่อาจไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับสองเมืองแรก แต่ก็มีธรรมชาติที่สวยงามและมีความโดดเด่นเป็นของตัวเอง บวกกับสถานที่ท่องเที่ยวที่รวมอยู่ในบริเวณเดียวกัน จึงสามารถแวะเที่ยวได้ตั้งแต่ครึ่งวันถึง 2 วัน ขึ้นอยู่กับความต้องการ
แต่ด้วยเสน่ห์และเอกลักษณ์ของแต่ละเมือง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกเดินทางไปยังทั้งสามเมืองพร้อมกันในทริปเดียว เพราะแต่ละเมืองต่างก็เติมเต็มกันและกันในทุกด้าน โดยรูปแบบการท่องเที่ยวทั้งสามเมืองที่แนะนำคือควรมีเวลาอย่างน้อย 5 วัน แบ่งเป็นเที่ยวโอซาก้า 2 วัน เกียวโต 2 วัน และนาราอีก 1 วัน
ผู้เขียน: ชินพงศ์ มุ่งศิริ
เริ่มต้นทำงานเป็นช่างภาพอิสระหลังเรียนจบ เดินทางไปถ่ายภาพที่ประเทศญี่ปุ่นบ่อยครั้งจนครบทั้ง 4 ฤดูอันสวยงาม และเกือบครบทุกภูมิภาค มีผลงานภาพถ่ายตีพิมพ์ในไกด์บุ๊คระดับโลกอย่าง Lonely Planet ถึง 3 เล่ม คือ Discovery Japan, Japan และ Kyoto รวมถึงเว็บไซต์ท่องเที่ยวชั้นนำอย่าง National Geographic Traveler UK, BBC Travel, Travel+Leisure, TIME และอีกมาก
นอกจากการถ่ายทอดความสวยงามของประเทศญี่ปุ่นผ่านภาพถ่าย ปัจจุบันยังหันมาถ่ายทอดเรื่องราวผ่านทางตัวอักษรทั้งในฐานะนักเขียนและนักแปลควบคู่กันไปอีกด้วย