มัตสึเอะ ที่ๆมีส่วนลดแทบทุกอย่างให้ต่างชาติ
สวัสดีค่ะผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผู้เขียนจะมาแนะนำเมืองที่ตัวเองเพิ่งได้ไปเที่ยวมาแล้วรู้สึกประทับใจมากกว่าที่คิดอย่างเมืองมัตสึเอะ(Matsue) จังหวัดชิมาเนะค่ะ สำหรับเมืองนี้อันที่จริงในตอนแรก ไม่ได้อยู่ในแผนของผู้เขียนค่ะ แต่เพราะตั๋วเหมารถนอนเหลือ แล้วจะหมดอายุก่อนสิ้นปี ประกอบกับสนใจจะไปชมศาลเจ้าอิสึโมะที่อยู่ในจังหวัดเดียวกันมานานแล้ว จึงได้เลือกมาที่นี่เป็นของแถมด้วย แต่พอมาแล้วกลับรู้สึกว่าน่าสนใจกว่าที่คิด จึงอยากจะทำมาแบ่งปันให้ผู้อ่านทุกๆท่านได้ไปชมบรรยากาศด้วยกันค่ะ
วิธีการเดินทาง
สำหรับวิธีการเดินทางนั้น เมืองมัตสึเอะตั้งอยู่ในจังหวัด ชิมาเนะ ซึ่งอยู่ในภูมิภาคชูโกคุค่ะ ค่อนข้างจะเป็นตอนล่างๆของเกาะหลักเลย จากโตะเกียวสามารถเดินทางมาได้หลายวิธีด้วยกัน ได้แก่
1 ชินกังเซน + รถไฟด่วน (แนะนำสำหรับท่านที่ถือ JR Pass เท่านั้นค่ะ)
ให้นั่งชินกังเซน จากสถานี Tokyo มาลงที่ Okayama (ประมาณ 3ชม.) แล้วต่อรถด่วนขบวนที่ชื่อ Yakumo ไปที่สถานี Matsue ค่ะ
- www.hyperdia.com (อังกฤษ)
2 รถไฟตู้นอนสายโรแมนติก Sunrise Izumo
สำหรับท่านที่ต้องการดื่มด่ำกับบรรยากาศของรถไฟตู้นอนขบวนสุดท้ายของญี่ปุ่น นี่เป็นวิธีการเดินทางที่ดีที่สุดค่ะ โดยรถไฟขบวนนี้ออกเดินทางทุกวันจากสถานี Tokyo เวลา 22.00 ทั้งยังสามารถใช้งานรถไฟขบวนนี้ได้ด้วย JR Pass (แต่ก็ต้องจองนะคะ) หรือถ้าอยากได้ห้องส่วนตัวก็จ่ายเพิ่มกันได้เลยเช่นกันค่ะ นอกจากจะนอนตื่นมาแล้วถึงชิมาเนะเลยแล้ว ยังสามารถเลือกเดินทางในห้องส่วนตัวที่มีเตียงประดุจพักโรงแรมอีกด้วย
- jprail.com (อังกฤษ)
3 รถบัสนอน (ผู้เขียนใช้วิธีนี้)
มีรถบัสนอนให้บริการจากสถานี Shinjuku ไปลงที่ Matsue เลย เรียกได้ว่านอนบนรถแล้วตื่นมารับอรุณกันที่ชิมาเนะเลยค่ะ ซึ่งรถนอนที่ว่าก็ร่วมรายการกับตั๋วเหมารถบัสของบริษัท Willer Express ด้วยนะคะ รายละเอียดศึกษาได้จากบทความของเว็บเราด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ
- allabout-japan.com (ภาษาไทย)
มัตสึเอะ
มัตสึเอะเป็นเมืองเก่าที่ขึ้นชื่อว่าเป็นที่ตั้งของหนึ่งใน 12 ปราสาทโบราณที่ยังคงสภาพแท้ๆแบบดั้งเดิมเอาไว้ นั่นก็คือปราสาทมัตสึเอะค่ะ
ซึ่งปราสาทมัตสึเอะแห่งนี้ยังเป็นปราสาทที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในบรรดาปราสาทที่เป็นของแท้เหล่านี้ด้วยค่ะ (ส่วนอันดับ 1 นั้นแน่นอนว่าคือปราสาทฮิเมจิที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวล้นหลามแทบทุกเทศกาล) ที่ผู้เขียนตัดสินใจมาเมืองนี้อันดับแรกก็เพื่อมาชมปราสาทนี่ละค่ะ
ชาเขียว และขนม
แต่พอมาถึงแล้วก็พบว่า เมืองนี้ยังเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของชาเขียวและขนมที่ใช้ทานคู่กับชาอีกด้วย เนื่องจากท่านโชกุนผู้เคนปกครองเมืองนี้ชื่นชอบชาเขียวเป็นอย่างมากนั่นเอง
ร้านชาเขียวแบรนด์ดังที่มีสาขาใน กทม. อย่างร้าน Chaho (สีลมคอมเพล็ก, BTS ช่องนนทรี) เอง ก็มีร้านต้นตำรับอยู่ที่เมืองนี้ค่ะ ซึ่งก็คือร้าน Nakamura Chaho ที่แค่เดินเข้าร้าน คุณก็จะได้รับการต้อนรับด้วยชาเขียวมัชฉะร้อนๆ กับขนมชิ้นน้อย ซึ่งต้องยอมรับว่าชาของเขาดีจริงค่ะ ผู้เขียนนั้นเป็นคนชอบดื่มชาและจุกจิกพอสมควร แต่ขนาดชาที่เป็นของต้อนรับให้ดื่มฟรีของเขา ดื่มเข้าไปแล้วยังรู้สึกต้องซื้อกลับ(ฮา) ถ้าเป็นคอชาเขียวแบบต้นตำรับจะเข้าใจได้ค่ะ รสชาติสดใหม่หอมลื่นคอนี่มันพุ่งขึ้นมาเลย ขนาดไม่เคยกินร้านที่ไทยก็ยังรู้สึกอยากจะแนะนำค่ะ ด้านราคานั้น แน่นอนว่าถ้ามาถึงร้านต้นตำรับที่จังหวัดชิมาเนะแล้ว บอกได้เลยว่าถูกกว่าชาเขียวในเกียวโตเป็นเท่าตัวค่ะ
ล่องเรือไปปราสาท
หลังดื่มชาแล้วเราก็เดินมาที่แม่คลองขุด Horikawa Castle Moat เพื่อจะล่องเรือแล้วถือโอกาสใช้เป็นทางไปปราสาทด้วย ใช่ค่ะ ฟังไม่ผิด เราจะนั่งเรือไปปราสาทกัน เพราะว่าถ้าเดินจะต้องใช้เวลาถึง 20 นาที แต่ถ้านั่งเรือ นอกจากจะไม่เมื่อยแล้วยังใช้เวลาพอๆกัน และได้ชมทิวทัศน์ 2 ฝั่งคลองขุดอีกด้วยค่ะ
มาถึงตรงนี้เราก็เริ่มได้รับรู้ถึงสิทธิพิเศษของนักท่องเที่ยวต่างชาติกันค่ะ ตั๋วเรือที่นี่จะเป็นแบบเหมาจ่ายครั้งเดียวนั่งกี่ครั้งก็ได้ตลอดทั้งวัน มีท่าเรือ 3ท่า ราคาเต็มคือ 1230 เยน แต่! ถ้าคุณเป็นต่างชาติ เพียงแสดงพาสปอร์ตหรือไซริวการ์ด คุณจะสามารถซื้อตั๋วเรือนี้ได้ในราคา 820 เยนเท่านั้น (ลดกันไปเลย 1ใน3)
ตัวเรือจะแล่นรอบคลองขุดรอบปราสาท และอย่างที่ได้เกริ่นไป ปราสาทแห่งนี้ใหญ่เป็นอันดับ2ในญี่ปุ่น ส่วนคลองนี้ก็เป็นอาณาเขตที่ขุดไว้แต่สมัยโบราณ ทำให้การนั่งเรือวนรอบปราสาทกันครั้งหนึ่งกินเวลากันเป็นชั่วโมงค่ะ (แต่ผู้เขียนจะไปปราสาท เลยลงที่ท่าแรก นั่งเพียง 20นาทีเท่านั้น) เรียกว่านั่งกันแบบจริงจัง ไม่ใช่แค่สั้นๆสุดคลองจบ แต่วนกันยาวๆเป็นกิโล และใช้แทนรถลูปบัสได้เลย (สำหรับท่านที่ไม่ชอบเรือ มีรถบัสบริการพาไปถึงปราสาทเช่นเดียวกันในราคาเที่ยวละ 200 เยนจากสถานีรถไฟค่ะ)
เมื่อไปถึงปราสาทผู้เขียนก็ได้รับคำแนะนำจากไกด์ท้องถิ่นที่อยู่บริเวณนั้นเป็นอย่างดี และอีกครั้งที่พบว่า ราคาตั๋วเข้าปราสาทมัตสึเอะนั้น ถ้าแสดงพาสปอร์ตว่าเป็นชาวต่างชาติ ก็ลด 50% กันตรงนั้น จาก 560 เหลือ 280 เยนทันทีเลยเช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้น ไม่ว่าจะตั๋วเข้าพิพิธภัณบ้านของนักเขียนชื่อดัง Lafcadio Hearn หรือตั๋วชมบ้านของซามุไรโบราณในเมืองมัตสึเอะ ทุกอย่างต่างมีส่วนลด 50% เพียงแสดงพาสปอร์ตว่าเป็นชาวต่างชาติค่ะ เรียกในว่าเห็นถึงน้ำใจและความอยากต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติของเมืองนี้กันเลย
ด้านตัวปราสาทเองก็กว้างมากทีเดียว แม้ว่าภายในจะค่อนข้างมืด แต่ก็มีงานจัดแสดงที่น่าสนใจมากมายเกี่ยวกับซามุไรและตัวปราสาทในอดีต ห้องครัวอยู่ตรงไหน ห้องสุขาอยู่ตรงไหน เป็นต้นค่ะ น่าเสียดายที่วันที่ผู้เขียนมาอากาศค่อนข้างครึ้มฟ้าครึ้มฝน ด้านบนปราสาทเลยหนาวมากๆ และไม่สามารถจะเก็บภาพดีๆกลับมาได้นัก แต่ก็รู้สึกประทับใจมากค่ะ จากคำบรรยายของไกด์ท้องถิ่น ถ้าเป็นฤดูใบไม้ผลิ ทิวทัศน์ของปราสาทกับต้นซากุระเองก็จะงดงามมากๆ เช่นกัน
ใกล้ๆปราสาทบริเวณ พิพิธภัณฑ์ Matsue History Museum เองก็มีสาธิตยิงปืนยิงปืนในช่วงบ่ายประจำเดือนพอดีด้วยค่ะ
หลังเพลิดเพลินกับ ปราสาท พิพิธภัณฑ์ และชาเขียวกับขนมแล้ว เราก็นั่งเรือกลับมาใกล้ๆสถานีรถไฟเพื่อจะเดินไป แช่ออนเซน!
ใช่แล้วค่ะ แถวๆนี้ยังเป็นแหล่งออนเซนและเรียวกังที่ชื่อ Matsue Shinjiko Onsen อีกด้วย มีทั้งเรียวกังที่มาเป็นที่พักพร้อมบ่อน้ำร้อนและวิวทะเลสาบ และเรียวกังที่เปิดให้เข้าไปแช่น้ำร้อนได้โดยไม่ต้องเข้าพัก ซึ่งผู้เขียนเลือกที่จะไปแช่บ่อน้ำร้อนแบบไม่เข้าพักที่เรียวกังชื่อ Suitenkaku ค่ะ
แช่น้ำเรียบร้อยแล้วก็ปิดท้ายวันนี้ด้วยของขึ้นชื่อของทะเลสาบ Shinjiko ทะเลสาบที่ขึ้นชื่อว่าจับหอยชิจิมิส่งออกได้มากที่สุดในญี่ปุ่น ราเมงหอยชิจิมิค่ะ
ก็พอหอมปากหอมคอกันไป ทีแรกคิดว่าจังหวัดห่างไกลอย่างชิมาเนะ มาเที่ยวสองวันคงไม่ค่อยจะมีอะไร ให้เขียนถึงนักที่ไหนได้ เผลอแป๊บเดียวก็หมดวันเสียแล้ว แถมยังเป็นทริปที่สงบสุขมาก เจอนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบนับคนได้ (ไม่เจอคนไทยเลยด้วยค่ะ ฮะๆๆ) แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้าค่ะ ^ ^