ขั้นตอนสมัครวิ่งงาน Tokyo Marathon !
ขั้นตอนที่ 1 เริ่มสมัครได้ที่เว็บไซต์ของ Tokyo Marathon
โอกาสได้วิ่งชมเมืองโตเกียวแบบนี้งานอื่นไม่มีแน่นอน แต่ก่อนอื่นก็ต้องสมัครให้ได้ก่อนนะ สำหรับชาวต่างชาติอย่างเรามีช่องทางการสมัครช่องทางเดียวคือสมัครด้วยตนเองที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ โดยแน่นอนว่าเว็บมีภาษาอังกฤษให้เลือกจึงไม่ต้องกังวลว่าจะอ่านไม่อออก
ในการกรอกใบสมัครนั้น ก็จะเป็นข้อมูลตามที่ระบบถาม (เป็นภาษาอังกฤษ) เช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ E-mail สำหรับใช้ในการติดต่อ, ที่อยู่ในการส่งเอกสาร, ประเภทที่ลงสมัคร (full marathon หรือแบบ 10 กม.) ไซส์เสื้อที่ต้องการ และที่สำคัญคือ **Target Time หรือ เวลาที่เราตั้งเป้าว่าจะวิ่งจบที่เวลาเท่าใด เมื่อกรอกจนครบทุกข้อ ก็จะมีเมล์ตอบกลับมาเพื่อยืนยันว่าเราได้ทำการสมัครเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็รอลุ้นผล Lotto ว่าเราจะเป็นหนึ่งในผู้โชคดีที่จะได้เข้าไปร่วมวิ่งในครั้งนี้หรือไม่ ซึ่งจะประกาศผลผ่าน e-mail ในช่วงปลายเดือน ก.ย. ของต่ละปี
ในขั้นตอนนี้ยังไม่ต้องจ่ายตังค์นะ เพราะยังต้องรอให้ปิดรับสมัครและเราได้รับการแจ้งผลการจับฉลากก่อนค่อยจ่าย
- www.marathon.tokyo (อังกฤษ)
ขั้นตอนที่ 2 รู้ผลและจ่ายเงินค่าสมัคร
หลังจากวันปิดรับสมัคร จะมีเมลล์แจ้งสรุปมาว่าในปีนี้ มีผู้สมัครทั้งหมดกี่คน และจะคัดโดยการจับฉลากให้เหลือกี่คน พร้อมทั้งแจ้งวันที่เป๊ะๆที่จะประกาศผลการจับฉลาก
และแล้วก็มาถึงวันประกาศผล ให้ลองเช็คอีเมล์ของคุณให้ดีถ้ามีเนื้อเมลล์ว่า Congratulation! You have been select for participants ก็ให้เตรียมกรี๊ดลั่นได้เลย เพราะคุณคือผู้โชคดีที่จะได้เข้าร่วมการวิ่งครั้งนี้
แต่! ช้าก่อน คุณยังมีภารกิจที่ต้องทำต่อโดยด่วน ภายในไม่เกิน 1 เดือน นั่นคือ การจ่ายเงินค่าสมัคร (จากต่างประเทศ) 12,800 เยน สำหรับ full marathon และ 6,700 เยน สำหรับระยะทาง 10 km. ซึ่งจะจ่ายผ่านระบบที่ทางทีมงานส่งมาในอีเมลล์ที่แจ้งผลให้ โดยตัดผ่านบัตรเครดิตเท่านั้น ส่วนใครโชคไม่ดีไม่ได้รับเลือกก็อดแข่งและแน่นอนไม่ต้องจ่าย รอไปลุ้นต่อปีหน้า
ขั้นตอนที่ 3 เตรียมตัวล่วงหน้าผ่านคู่มือนักวิ่งและ Invitation letter
ช่วงต้นเดือนก.พ. ก็จะมีอีเมล์ส่งมาหาเราอีก 1 ฉบับและในนั้นจะมีไฟล์คู่มือการเข้าร่วมการแข่งขันแนบมาให้ เพื่อให้เราอ่านและทำความเข้าใจกับกฎระเบียบ ,ข้อห้าม, เส้นทางการวิ่ง, กำหนดการ ฯลฯ ก่อนถึงวันแข่งจริง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นไปตามระเบียบของ IAAF
หลังจากผ่านไปอีกสักพัก ก็จะมีซองจดหมายส่งมาให้เรา 1 ซองใหญ่ ซึ่งข้างในนั้นก็จะบรรจุ Invitation Letter หรือหนังสือเชิญอย่างเป็นทางการ เพื่อแจงหมายเลขประจำตัววิ่ง (BIB) รวมไปถึงรายละเอียดของโต๊ะรายงานตัวในวันรับเสื้อ, จุดสตาร์ทในวันวิ่งจริง รวมถึงโซนการปล่อยตัวที่เรียกว่า Block เพราะด้วยความที่คนเยอะเลยต้องทยอยปล่อยนักวิ่ง ซึ่งการเลือกลำดับ block นั้นทางผู้จัด จะจัดให้คนที่วิ่ง Pace (เวลาในการวิ่ง) ใกล้เคียงกันมาอยู่กลุ่มเดียวกัน โดยดูจากเวลาวิ่งที่เรากรอกตอนสมัครนั่นเอง
ขั้นตอนที่ 4 รับอุปกรณ์ก่อนวันแข่งจริง
ตามปกติแล้ว นักวิ่งจะต้องเดินทางไปถึงโตเกียวก่อนวันแข่ง 2-3 วัน ของปีนี้จัดในวันที่ 28 ก.พ. - 2 มี.ค.เราจะไปรับวันไหนก็ได้ (แต่ว่าไม่อนุญาตให้มาลงทะเบียนหรือรับอุปกรณ์ ณ วันแข่งจริง)
โดยเราต้องไปถ่ายรูป, ลงทะเบียนเพื่อรับหมายเลขประจำตัววิ่ง (BIB), เสื้อที่จะใส่ในวันแข่งและสายรัดข้อมือ, Tag ติดรองเท้า และบัตรโดยสารรถไฟไต้ดินฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งทั้งหมดจะใส่อยู่ในกระเป๋าเพื่อส่วนหนึ่งจะได้ใช้เป็นกระเป๋าฝากของในวันจริง โดยในปี 2019 นี้ เค้าให้ไปลงทะเบียนรับอุปกรณ์ต่างๆที่ Odaiba Aomi ซึ่งจะเป็นฮอลล์ใหญ่ๆที่นอกจากมีการรับลงทะเบียนแล้วก็มีการจัดงาน Expo เกี่ยวกับกีฬาต่างๆมากมาย ที่แทบทำนักวิ่งทรัพย์ละลายตั้งแต่ยังไม่ได้แข่ง ส่วนวิธีการเดินทางไปเพื่อลงทะเบียนก็ให้ขึ้นรถรางลอยฟ้า Yurikamome ลงสถานี Odaiba
ขั้นตอนที่ 5 วันแข่งจริง เจอกันจุดสตาร์ท
ในวันแข่งจริง (คราวนี้จะเป็นวันอาทิตย์ที่ 3 มี.ค.2019) นักวิ่งทั้งหลายต้องมารวมตัวกันที่อาคารที่ว่าการกรุงโตเกียว อันเป็นจุดปล่อยตัวนักวิ่งในทุกประเภท ซึ่งเจ้าหน้าที่จะดูจากสายรัดข้อมือและ Bib ในการบริหารจัดการนักวิ่ง โดยนักวิ่งสามารถนำของไปฝากได้และมารับหลังจากวิ่งเสร็จ โดยนักวิ่งที่แข่ง Full marathon กลุ่มแรกจะปล่อยตัวเวลา 9:10 น. และจบในเวลาเกิน 16:10 น.โดยมีเส้นชัยอยู่ที่สถานีรถไฟโตเกียว ส่วนนักวิ่งที่ลงแข่ง 10 กม. ก็จะเข้าเส้นชัยที่ Nihombashi ภายในเวลาไม่เกิน 10:50 น. แต่ก็จัดมีการตัดเวลา cut off ย่อยในแต่ละจุดด้วย ฉะนั้นระวังกันให้ดีนะจ๊ะ
ขั้นตอนที่ 6 เย้! เข้าเส้นชัยพร้อมรับรางวัล
เมื่อเราพยายามหนีจากการ cut off และสามารถเข้าเส้นชัยได้ในที่สุด เราก็จะได้รับเหรียญ Tokyo Marathon คล้องให้ที่เส้นชัย พร้อมรับผ้าขนหนู Finisher ได้เลย รวมทั้งเราสามารถเอาใบเวลาที่เรารับจากจุด check point ต่างๆไปยื่นให้เจ้าหน้าที่เพื่อบันทึกเวลาวิ่งของเราทั้งหมดได้เลยทันที โดยที่ไม่ต้องรอหลังงานเหมือนที่เมืองไทย ไฮเทคสมเป็นงานระดับโลกจริงๆ แล้วตั๋วรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro ที่ได้ฟรีมาก็อย่าลืมใช้ล่ะ ใช้ได้ภายใน 24 ชั่วโมงของวันแข่งจริงเท่านั้นนะคะ
สรุปว่าทั้งหมดทั้งมวล งานนี้ดีงาม ระบบจัดการเยี่ยม กองเชียร์น่ารัก สต๊าฟใจดี วิวก็สวย ควรค่าแก่การสมัครมาวิ่งอย่างยิ่งค่ะ