พาเที่ยว 1 วัน ลุยที่สวยและแปลกในกุนมะ (Gunma)
เริ่มต้นที่ น้ำตกฟูคิวาเระ โนะ ทาคิ (Fukiware no taki)
เป็นน้ำตกในเมืองนุมาตะ (Numata) ที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่ง ตอนที่ไปถึงยังเป็นเวลาเช้าซึ่งอากาศค่อนข้างดี ได้ยินเสียงน้ำตกชัดเจน
น้ำตกฟูคิวาเระเกิดจากน้ำในแม่น้ำคาตาชินะ (Katashina) ไหลผ่านหินเถ้าภูเขาไฟและหินแกรนิตที่มีการกัดกร่อนจนทำให้ก้อนหินมีรูปร่างเป็นตัววี ชื่อของน้ำตกฟูคิวาเระโนะทากิมาจากคำว่า Fukiware ที่มีความหมายว่า ถูกพัดจนเป็นชิ้นๆ และTaki แปลว่า น้ำตก เพราะว่าก้อนหินตรงนี้มีรูปร่างเหมือนโดนลมพัดจนหักเป็นชิ้นๆ
ความสูงของน้ำตกประมาณ 7 เมตร กว้าง 30 เมตร และด้วยลักษณะการไหลของกระแสน้ำจากลำธารทั้งด้านซ้ายและด้านขวาไหลลงช่องหินที่แตกโค้งเว้าจึงมีรูปร่างไม่เหมือนกับน้ำตกไหนๆในญี่ปุ่น ได้รับสมญานามว่าน้ำตกไนแองการ่าแห่งญี่ปุ่น
เดินผ่านจุดชมวิวของน้ำตกมา ก่อนถึงทางออกก็จะมีร้านขายของระหว่างทาง พวกเราแวะนั่งพักดื่มชาและรับประทานดังโงะกันในร้านๆหนึ่ง บรรยากาศในร้าน มีความเป็นร้านค้าแบบท้องถิ่น และก็มีอาหารน่ารับประทานหลายอย่างด้วย แต่แค่ลองทานดังโงะแบบเสียบไม้ราดซอสมิโสะก็อิ่มมากแล้ว
วิธีการเดินทาง : เริ่มต้นจากโตเกียว นั่งรถไฟ Shinkansen ไปลงที่สถานี Takasaki ใช้เวลา 50 นาที จากนั้นเปลี่ยนสายไปขึ้น JR Ryomo Line ไปลงที่สถานี Shin-Maebashi ใช้เวลา 10 นาที แล้วต่อรถไฟสาย Joetsu Line ไปลงที่สถานี Numata ใช้เวลา 36 นาที และต่อรถบัสไปลงที่น้ำตกอีกประมาณ 40 นาที
**น้ำตกฟูคิวาเระ จะหยุดทำการในช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนธันวาคม-มีนาคม เพื่อดูแลและฟื้นฟูสภาพพื้นที่
จุดหมายต่อไปคือ ชิมะออนเซ็น (Shima onsen)
เป็นสถานที่ที่เราหาข้อมูลมาก่อนและอยากจะไปเห็นสถานที่จริงด้วยตัวเองสักครั้ง ที่ตั้งของชิมะออนเซ็นอยู่ในย่านที่เรียกว่านาคาโนะโจ (Nakano-Jo) ซึ่งเป็นย่านเมืองเก่าในกุนมะ
จุดเด่นที่เรียกว่าเป็นไฮไลท์ของเมืองออนเซ็นแห่งนี้ก็คือเรียวกังเก่าแก่และเป็นต้นแบบของสถานที่ในภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ได้รับความนิยมมากของสตูดิโอจิบลิเรื่อง Spirited Away นั่นเอง
ความรู้สึกแรกที่ได้สัมผัสบรรยากาศของเมืองนี้ก็คือ ที่นี่อากาศดีมาก ถึงแม้จะเป็นช่วงบ่ายแต่ก็ถือว่าอากาศเย็นสบาย อุณหภูมิราวๆ 16 องศาเพราะอยู่กลางป่ากับภูเขา พวกเราเดินเล่นและถ่ายรูปตั้งแต่ทางเข้า จนเดินไปถึงเรียวกังเก่าแก่กับสะพานสีแดงที่มีผู้คนและนักท่องเที่ยวสนใจมาถ่ายภาพจุดนี้กันมากมาย
สำหรับบริการออนเซ็นที่นี่ ไม่จำเป็นว่าจะต้องพักค้างคืนอย่างเดียว เพราะมีทั้งโรงอาบน้ำสาธารณะและบริการแช่ออนเซ็นเท้าที่เปิดบริการสำหรับทุกคน ซึ่งสามารถมาใช้บริการและเดินเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับก็ได้ นอกจากเรียวกังกับบริการออนเซ็นต่างๆแล้ว ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของที่ตั้งอยู่สองข้างทางในเมืองนี้ก็เป็นอาคารไม้สถาปัตยกรรมแบบเก่าแก่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนยุคไปในสมัยก่อนของญี่ปุ่นอีกด้วย
วิธีการเดินทาง : จากโตเกียว นั่งรถไฟ Shinkansen ไปลงที่สถานี Takasaki จากนั้นเปลี่ยนไปนั่งรถไฟ JR สาย Agatsuma ไปลงที่สถานี Nakanojo แล้วต่อรถบัสอีกประมาณ 40 นาที
ปิดท้ายที่ คุซัทสึ ออนเซ็น (Kusatsu Onsen)
เมืองออนเซ็นชื่อดังที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมายาวนานมากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ตั้งอยู่กลางหุบเขาสูงใหญ่ทางเหนือของจังหวัดกุนมะ อยู่เหนือระดับน้ำทะเลราว 1,200 เมตร จึงเป็นเมืองที่อากาศดีตลอดทั้งปี โดยทุกๆ 1 นาทีจะมีน้ำพุร้อนธรรมชาติไหลพุ่งออกมาปริมาณมหาศาลทำให้บริเวณโดยรอบมีไอน้ำปกคลุมอยู่เสมอ
ความรู้สึกแรกที่เดินไปถึงจุดที่เรียกว่ายูบาทาเกะ (Yubatake) แหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ ก็คือกลิ่นกำมะถันกับน้ำสีเขียวและควันลอยกรุ่น กับอากาศที่ค่อนข้างหนาวเลยล่ะ หนาวกว่าตอนที่มาจากชิมะออนเซ็นพอสมควร (อุณหภูมิเวลานั้นประมาณ 12 องศา) ใกล้ๆกับยูบาทาเกะมีจุดบริการแช่ออนเซ็นเท้าได้ฟรี เรากับเพื่อนๆก็เลยแวะนั่งแช่เท้า และพักเหนื่อยจากการเดินทางไปด้วย รู้สึกอุ่นสบายขึ้นเยอะเลย
หลังจากนั้นก็ไปเดินไปที่วัดคุซัทสึโคเซนจิ (Kusatsusan Kosenji Temple) วัดพุทธขนาดเล็กนิกาย Shingon ในเมืองคุซัทสึ ที่สร้างอยู่บนภูเขาสูง ประกอบด้วยอาคารและห้องโถงที่ว่ากันว่าทำมาจากไม้ชนิดเดียวกันกับวัดโทไดจิ (Todaiji) ในจังหวัดนารา เราเดินขึ้นบันไดมาด้านบนเพื่อชมวัดแห่งนี้แล้วก็ยังสามารถชมวิวเมืองคุซัทสึรวมทั้งจุดที่เป็นยูบาทาเกะได้อย่างชัดเจนด้วย
ความน่าสนใจของเมืองออนเซ็นเล็กๆแห่งนี้ ไม่ได้มีแค่น้ำพุร้อนธรรมชาติเท่านั้น แต่บรรยากาศรอบๆตัว ทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ โรงแรมที่พัก เรียวกังต่างๆก็เป็นสถาปัตยกรรมแบบเก่าแก่ แม้กระทั่งร้านสะดวกซื้อก็ต้องยอมทำร้านให้กลมกลืนเข้ากับบรรยากาศของที่นี่ อีกทั้งผู้คนส่วนใหญ่ที่เราเห็นก็นิยมสวมชุดยูกาตะออกมาเดินเล่นกันด้วย
วิธีการเดินทาง : เริ่มต้นจากโตเกียว นั่งรถไฟสาย Hokuriku Shinkansen ไปลงสถานี Karuizawa ใช้เวลาประมาณ 70 นาที จากนั้นต่อรถบัส Seibu Bus หรือ Kusakaru Kotsu ไปลงที่ Kusatsu onsen ใช้เวลาประมาณ 80 นาที
หรืออีกวิธีจากโตเกียวนั่งรถไฟ Shinkansen สาย Joetsu Line ไปลงที่สถานี Takasaki จากนั้นเปลี่ยนไปนั่งรถไฟ JR สาย Agatsuma ไปลงที่สถานี Naganohara-kusatsuguchi แล้วต่อรถบัสอีกประมาณ 25 นาที
สถานที่ท่องเที่ยวทั้ง 3 แห่งในจังหวัดกุนมะที่ได้แนะนำไป สามารถเดินทางแบบเดย์ทริปใน 1 วัน จากโตเกียวได้โดยไม่ต้องค้างคืน (แต่ถ้าอยากค้างคืนก็ทำได้เพราะทั้งสองออนเซ็นมีเรียวกังดีๆเยอะมาก) จึงนำมาเสนอเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่สนใจอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากการเที่ยวในเมืองบ้าง ถ้ามีโอกาสก็ลองวางแผนไปเที่ยวด้วยตัวเองได้ ไม่ยากเลยค่ะ