ข้อมูลการเที่ยวโตเกียวฉบับสมบูรณ์
เที่ยวโตเกียว ไปด้วยตัวเองหรือซื้อทัวร์
คำถามแรก นี่คือปัญหาใหญ่ที่มีคนถามบ่อยที่สุดในอดีต เพราะหลายคนไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถไปไหนมาไหนเองได้ในประเทศที่ภาษาหลักไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ซึ่งก็อาจจะเป็นจริงในหลายสิบปีก่อน แต่ว่าในปัจจุบันญี่ปุ่นได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ป้ายบอกทาง แผนที่รถไฟ โรงแรมต่างๆ สถานที่เที่ยวทั้งหลายก็ปรับตัวรับนักท่องเที่ยว ซึ่งผมเองก็ได้ทำงานในวงการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นมาบ้าง จึงขอรับรองได้ว่าในปัจจุบันโตเกียวเป็นเมืองที่เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมากๆ แม้รถไฟจะมีหลากหลายสายจนกลัวหลง ภาษาหลักไม่ใช่ภาษาอังกฤษ คนทั่วไปยังพูดอังกฤษกันไม่ค่อยเก่ง แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด ใครที่กลัวว่าจะเที่ยวด้วยตัวเองไม่ได้ด้วยเหตุผลเหล่านี้ขอให้สบายใจ
แต่ทั้งนี้แล้ว หากใครที่ยังอยากไปเป็นกรุ๊ปทัวร์ด้วยเหตุผลอื่นๆ เช่นต้องการไกด์ ครอบครัวใหญ่มาก หรือไม่อยากจองสิ่งต่างๆเอง ก็สามารถใช้บริการกรุ๊ปทัวร์ได้ไม่มีปัญหา
ลงสนามบินนาริตะหรือฮาเนดะดี
คำถามต่อไปก็คือเรื่องสนามบิน 90% ของคนไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นบริเวณโตเกียวในปัจจุบัน เชื่อว่าคงมีความคุ้นเคยกับสนามบินนาริตะมากกว่าฮาเนดะ ในทางกลับกัน นักธุรกิจบางคนอาจจะคุ้นเคยกับฮาเนดะมากกว่า ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าสนามบินนาริตะนั้นเป็นสนามบินที่รองรับโลว์คอสต์ทั้งหมด ทั้ง Air Asia, Air Asia X, Scoot, Nok Scoot เป็นต้น โดยสายการบินเหล่านี้ไม่มีลงที่ฮาเนดะเลย กลับกันฮาเนดะนั้นจะเป็นที่ขึ้นลงของสายการบิน Full Service เท่านั้น ในกรณีหากอยากบินจากกรุงเทพไปลงฮาเนดะก็ต้องเลือกใช้บริการ การบินไทย, JAL, ANA ทำให้นักธุรกิจมีโอกาสได้ไปลงที่ฮาเนดะมากกว่า
จึงอยากจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องคิดมากในเรื่องสนามบิน หากชอบราคาที่ถูกของโลว์คอสต์ยังไงก็ต้องไปลงที่นาริตะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากอยากลงฮาเนดะก็ต้องจ่ายเยอะหน่อยเพื่อนขึ้นสายการบินพรีเมี่ยมเท่านั้น
สำหรับคนที่ห่วงว่าการเดินทางจากนาริตะเข้าสู่โตเกียวนั้นจะแพงกว่าเพราะอยู่ไกลจากใจกลางเมืองโตเกียว ขอแนะนำว่าไม่ควรกังวลจนเกินไป เพราะราคามากกว่าการเดินทางจากฮาเนดะเข้าโตเกียวเพียง 1,000-2,000 เยน หรือประมาณ 300-600 บาทเท่านั้น (ขึ้นอยู่กับวิธีการเดินทางที่เลือก) และนาริตะก็มีบริการรถไฟฟ้า Keisei SkyLiner ซึ่งมุ่งตรงสู่ย่านยอดนิยมของเมืองไทยอย่างอุเอโนะ ซึ่งแม้จะไกลถ้าดูระยะทาง แต่ถ้าดูเวลาก็ไม่ได้ช้ากว่าการเดินทางจากฮาเนดะไปยังที่เดียวในโตเกียวเท่าไหร่
การเดินทางและตั๋วรถไฟในโตเกียว
การเดินทางที่สะดวกที่สุดในโตเกียวนั้นก็คือการใช้รถไฟ
คิดว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อตั๋วราคาประหยัดที่ขึ้นรถไฟได้ไม่อั้นมาบ้าง อย่างเช่น JR PASS, Tokyo Metro 1 Day, Seishun 18 เป็นต้น แต่ว่าก่อนจะซื้อ ข้อแนะนำแรกเลยคือให้ดูแผนการท่องเที่ยวของตัวเองก่อนว่าจะไปที่ไหนบ้าง จะอยู่แค่ในโตเกียว หรือจะออกไปต่างจังหวัดด้วย
หากอยู่ในโตเกียว ตั๋วประเภทวันอย่างเช่น Tokyo Metro 1, 2, 3 Day Pass, JR Tokunai Pass, Toei Subway + Bus Pass เป็นต้น แต่ว่าจะใช้บริการเจ้าไหนนั้นก็สุดแล้วแต่จริงๆ เพราะว่าสายที่ครอบคลุมไม่เหมือนกัน ที่ๆไปได้ก็ไม่เหมือนกัน จะเลือกใช้อันไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าวันไหนจะไปที่ไหน อยู่สถานีของสายอะไร JR หรือใต้ดิน หรือถ้ายังไม่รู้จริงๆ ก็แนะนำว่าให้ซื้อของ Tokyo Metro ไปเลยเพราะโตเกียวชั้นในนั้น รถไฟใต้ดินเมโทรครอบคลุมมากกว่า JR หลายเท่า
หากออกนอกโตเกียว จะมีพาสหลากหลายรูปแบบที่เลือกใช้ได้ขึ้นอยู่กับพื้นที่อื่นๆที่อยากไป ไม่ว่าจะเป็นนิกโก้ ฟูจิ คันโต (รอบๆโตเกียว) หรือทั่วประเทศ
การจองโรงแรมที่พักราคาถูกในโตเกียว
โรงแรมที่พักในโตเกียวนั้นมีหลากหลายรูปแบบและมีปริมาณเยอะเหลือเฟือ แต่ก็ยังสามารถเต็มได้ในบริเวณดังและในช่วงฤดูยอดฮิต เช่นปลายมีนาคมถึงกลางเมษายน ซึ่งเป็นช่วงชมซากุระที่หลายภูมิภาคในญี่ปุ่นมีนักท่องเที่ยวเยอะจนล้น
ในบทความนี้ เราคงแนะนำโรงแรมแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งไม่ได้ จึงอยากจะขอแนะนำเทคนิคในการจองเล็กๆน้อยๆที่จะช่วยให้ทุกท่านประหยัดได้บ้างไม่มากก็น้อย
1. ใช้บริการเว็บที่รวมราคาจากเว็บอื่นหลายๆเว็บ อย่างเช่น Trivago เนื่องจากการตรวจสอบราคาจากเว็บทีละเว็บๆนั้นใช้เวลามากและเราอาจมองตกไปได้ เราจึงแนะนำว่าการใช้บริการเว็บแบบนี้เป็นทางเลือกที่ดี Trivago เป็นบริการ meta search ที่รวบรวมราคาของโรงแรมจากเว็บต่างๆเช่น Agoda, Expedia, Booking มารวมกันไว้ในที่เดียว เพื่อให้เราเช็คได้ว่าในโรงแรมเดียวกัน จองจากเว็บไหนถูกที่สุด
2. ลองนอนห้องแคปซูลหรือโฮสเทล หากคุณเป็นคนที่ไม่คิดมากเรื่องขนาดห้องหรือความเป็นส่วนตัว หรือเป็นแบ็คแพ็คเกอร์ หรือเป็นวัยรุ่นที่ยังอยากลุยอยากหาเพื่อนต่างชาติ นี่เป็นทางเลือกที่ดีมาก เพราะนอกจากราคาจะถูกกว่าโรงแรมธรรมดาอย่างมากแล้ว (แม้ในใจกลางโตเกียวก็สามารถหาราคาคืนละ 600-1,000 บาทได้ไม่ยาก) ก็ยังมีข้อดีอื่นๆอย่างเช่นการสร้างเพื่อนต่างชาติเป็นต้น แต่แน่นอนว่าโรงแรมแบบนี้จะไม่เหมาะกับผู้สูงอายุหรือการเที่ยวเป็นครอบครัว
3. อีกหนึ่งสิ่งก็คือ วางแผนให้เสร็จล่วงหน้าให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยตัวเลขง่ายๆที่นิยมถือกันก็คือจองล่วงหน้าให้เกินหกเดือน แค่นี้ก็จะสามารถลดราคาได้พอสมควรเพราะโรงแรมยังไม่จัดสต๊อค ไม่เปลี่ยนแปลงราคา หรือปรับให้สูงขึ้นเพื่อเพิ่มกำไร (เพราะห้องยังไม่เต็ม)
Japanese Language ภาษาญี่ปุ่นล่ะต้องรู้มั้ย
อย่างที่ได้บอกไปในหัวข้อไปด้วยตัวเองหรือซื้อทัวร์ ญี่ปุ่นนั้นในอดีตอาจจะมีภาพของความไม่เป็นมิตรกับคนที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น แต่ในปัจจุบันนั้น ป้ายภาษาอังกฤษมีอยู่เยอะมาก ภายในโตเกียวนั้น รถไฟสายหลัก สถานที่เที่ยวสำคัญๆ และตามสนามบินมีป้ายภาษาอังกฤษอยู่อย่างเพียบพร้อม และหากไปตามร้านค้าแหล่งช้อปปิ้ง จะพบได้ว่าหลายร้านมีภาษาไทยด้วย!
ปัญหาเรื่องไม่มีป้ายภาษาอังกฤษจะเริ่มต่อเมื่อเราเริ่มไปต่างจังหวัดในที่ๆไม่ค่อยมีความนิยมและมีนักท่องเที่ยวน้อย อย่างเช่นภูมิภาคโทโฮคุ (ตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น) เกาะชิโกกุ หรือแม้แต่ย่านที่อยู่อาศัย เมืองเล็กๆทั่วไปในโตเกียวที่ไม่ได้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเป็นประจำ (ซึ่งก็เป็นที่ๆเราอาจจะไม่ได้ไปอยู่แล้ว) แต่ว่าใจกลางโตเกียว สถานที่ท่องเที่ยวดัง และภายในสถานีรถไฟนั้น รับรองได้ว่าไม่มีปัญหา
พยากรณ์อากาศในโตเกียวและญี่ปุ่น
อากาศเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เราไม่อยากให้ทุกคนกังวลล่วงหน้านานๆ อย่างไม่เกิดประโยชน์ เพราะว่าแม้เทคโนโลยีในปัจจุบันจะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ แต่การพยากรณ์อากาศนั้นก็ยังไม่สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าเป็นเดือนๆหรือเป็นปีได้อยู่ดี เพราะว่าเมฆที่จะตกลงมาเป็นฝนในอีกหลายเดือนข้างหน้า ตอนนี้ยังไม่เป็นก้อนเลย เพราะฉะนั้นการกังวลล่วงหน้าว่าอีกสามเดือนฝนจะตกหรือไม่นั้นเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
ในปัจจุบัน การคาดการณ์สภาพอากาศล่วงหน้าหลายๆเดือนหรือเป็นปีนั้น สุดท้ายก็ยังเป็นการดูพยากรณ์อากาศย้อนหลังของช่วงเวลานั้นๆ ในปีก่อนๆ เท่านั้นเอง ไม่สามารถคาดเดาได้ละเอียดถึงระดับวันที่และเวลา
อย่างเช่น หากดูล่วงหน้าครึ่งปีตั้งแต่เดือนมกราคม เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจริงๆแล้ววันที่ 15 กรกฏาคมนั้นมีฝนตกหรือไม่ แต่สิ่งที่เราจะรู้ได้ก็อย่างเช่น เดือนกรกฏาคมเป็นฤดูมรสุม มีโอกาสฝนตกเยอะ ในปีก่อนๆมีวันฝนตกเฉลี่ย 10 วันในเดือนกรกฏาคม เป็นต้น
กว่าจะรู้ได้อย่างชัดเจนว่า วันที่ 15 กรกฏาคมฝนจะตกจริงหรือไม่ ก็ต้องรอให้เวลานั้นใกล้เข้ามาเท่านั้น ล่วงหน้าซักอาทิตย์หนึ่งหรือสี่ห้าวัน
ชมซากุระในโตเกียว
หากต้องการชมซากุระในโตเกียว ให้พยายามเลือกไปให้คาบเกี่ยวช่วงต้นเดือนเมษายนจะดีที่สุด หากไปในช่วงสงกรานต์ก็ยังถือว่าทันอยู่ แต่ในบางปี จะไปเจอกับซากุระที่เริ่มร่วงพอดี หรือร่วงไปเกินครึ่งต้นแล้ว แต่สงกรานต์ก็ยังถือเป็นช่วงที่ค่อนข้างโอเคอยู่ แต่หากออกจากโตเกียวไปชมที่จังหวัดใกล้เคียงได้ก็จะดียิ่งกว่า
แต่สำหรับคนที่ไปญี่ปุ่นในช่วงปลายเดือนเมษายนหรือเจ้าพฤษภาแล้วละก็ จะถือว่าค่อนข้างช้าเกินไปสำหรับซากุระ แนะนำว่าถ้าหากจะไปในช่วงนี้ให้ขึ้นเหนือไปยังจังหวัดอื่นๆเช่นฟุคุชิมะ กุนมะ ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศไม่เลว
ทั้งนี้ เนื่องจากว่าอากาศแต่ละปีนั้นร้อนหนาวเร็วช้าไม่เท่ากัน ใช่ว่าซากุระจะต้องบานในสัปดาห์แรกของเดือนเมษายนตลอด บางปีก็เร็วขึ้นหรือช้าลงเป็นสัปดาห์เลยก็มี เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะไปช่วงไหน ก็ขอให้เตรียมแผนสองไว้ด้วย เลือกที่ๆอยากไปชมเอาไว้หลายๆเพื่อที่จะได้ไม่ผิดหวังหากที่ใดที่นึงยังไม่สวยเท่าที่ต้องการ ถ้าที่แรกที่เล็งไว้ร่วงเร็วเกินก็ให้ขึ้นเหนือไปที่ๆยังบานอยู่พอดี ถ้าที่ๆเล็งไว้บานช้าเกินก็ลงใต้ไปชมยังเมืองที่บานเร็วกว่า เป็นต้น ไม่ควรยึดติดว่าต้องชมในโตเกียวเท่านั้น ที่สำคัญ เมืองใหญ่อย่างโตเกียวยังมีอย่างอื่นให้ทำมากมายนอกจากซากุระ
ชมใบไม้แดงในโตเกียว
เวลาที่เหมาะที่สุดคือปลายเดือนพฤศจิกายน แต่ในหลายๆที่สามารถชมได้ตั้งแต่ปลายตุลาคม และเช่นเดียวกับซากุระ ใบไม้แดงก็มีที่ๆสามารถชมได้หลายที่ และเวลาก็สามารถเร็วขึ้นหรือช้าลงได้ในแต่ละปีเช่นเดียวกับซากุระ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะไปช่วงไหนก็ขอให้เตรียมแผนสองเอาไว้เช่นกัน เลือกที่ๆอยากไปชมเอาไว้หลายๆเพื่อที่จะได้ไม่ผิดหวังหากที่ใดที่นึงยังไม่สวยเท่าที่ต้องการ
สถานที่ท่องเที่ยวในโตเกียว
เนื่องจากเป็นเมืองใหญ่จึงมีทุกอย่าง โตเกียวมีสถานที่เที่ยวมากมายหลายประเภท ตั้งแต่ช้อปปิ้ง ชิม ชมวิว พิพิธภัณท์ สวนสนุก ทะเล เทคโนโลยี ไปจนถึงปีนเขา ชมธรรมชาติ ดอกไม้ ซากุระ และใบไม้แดงเป็นต้น
ใครที่คิดจะไปโตเกียวก็ควรจะมีแผนการล่วงหน้าไม่มากก็น้อย เพื่อให้การไปเที่ยวไม่เสียเที่ยว แน่นอนว่าไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ควรเลือกเอาไว้ล่วงหน้าว่าอยากไปทำอะไร กินอะไร ชมอะไร ในกรณีของโตเกียวเนื่องจากมีที่ท่องเที่ยวหลากหลานแนว จึงควรคิดไว้เนิ่นๆว่าแนวไหนบ้างที่ตัวเองอยากจะไปชม ก่อนที่จะเลือกจองโรงแรมให้เหมาะสมกับสถานที่ส่วนใหญ่ที่เราจะแวะไป
การท่องเที่ยวควรมีแผนหลักและแผนสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคิดจะไปในช่วงฤดูฝน ถ้าหากแผนหลักคือการเที่ยวชมวิวกลางแจ้งต้องพับไปเพราะฝน การมีแผนสองเป็นที่เที่ยวอื่นๆเตรียมเอาไว้ อย่างเช่นที่เที่ยวในร่ม เดินห้าง เข้าพิพิธภัณท์ จะทำให้เราไม่เสียหนึ่งวันไปฟรีๆหากฝนตก ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเราอยากแนะนำให้ทุกคนเตรียมแผนสองเอาไว้เสมอ
ย่านต่างๆในโตเกียว ไปที่ไหนดี
ต่อไปก็คือหัวข้อที่สำคัญที่สุด เมืองใหญ่อย่างโตเกียวมีอะไรต่ออะไรให้ทำเยอะไปหมด เยอะจนบางคนที่มีประสบการณ์แล้วอาจจะสามารถไปโดยไม่มีแผนการก็ยังได้ เพราะแค่นั่งรถไฟไปรอบๆก็เจออะไรน่าสนุกให้ทำให้ถ่ายรูปมากมาย สามารถแวะดูได้ตามสะดวก
แต่สำหรับมือใหม่ ถ้าไม่วางแผนไว้แต่แรกละก็อาจจะเสียเวลาโดยใช่เหตุไปกับการเดินทาง (และการหลงทาง) ไม่ว่าคุณจะเป็นใครอย่างน้อยเราอยากแนะนำให้ตัดสินใจเลือก “ย่าน” ที่อยากเที่ยวเอาไว้ก่อนซักที่สองที่ก่อนจะเดินทางไป โดยย่านดังๆที่คนจะเลือกไปเป็นที่แรกๆก็มีคร่าวๆดังนี้
อุเอโนะ
อุเอโนะเป็นย่านหลักที่สำคัญที่สุดแห่งนึงของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพราะรถไฟด่วนสาย Keisei จากสนามบินนาริตะที่คนนิยมใช้เดินทางเข้าสู่เมืองโตเกียวจะมาสุดสายที่นี่ ทำให้บริเวณนี้มีโรงแรมมากมาย ร้านค้าก็เตรียมป้ายภาษาอังกฤษและไทยรอรับนักท่องเที่ยว พนักงานส่วนใหญ่คุ้นเคยกับคนต่างชาติเป็นอย่างดี มีอะไรให้ทำหลายอย่างไม่ใช่แค่ร้านอาหารและแหล่งช้อป แต่ยังมีพิพิธภัณท์ศิลปะ, ประวัติศาสตร์, และวิทยาศาสตร์ สวนสาธารณะ ศาลเจ้า หรือจุดชมซากุระและใบไม้แดงก็มี (แล้วแต่ฤดู)
นอกจากตลาดอาเมโยโกะที่อุเอโนะ จะเป็นประตูสู่ญี่ปุ่นสำหรับใครหลายๆคนแล้ว การที่มีโรงแรมเยอะและสถานีรถไฟใหญ่ที่เดินทางสะดวก ทำให้ที่นี่เหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้เป็นศูนย์กลางของการเดินทาง ใครที่เที่ยวโตเกียวเมืองเดียวจะพักที่นี่ยาวๆ โดยไม่ย้ายโรงแรม แล้วออกไปเที่ยวที่ต่างๆในโตเกียวโดยไม่ลากกระเป๋าไปก็สะดวกดี รถไฟที่สามารถขึ้นได้จากที่นี่โดยตรงก็อย่างเช่น JR Yamanote, Tokyo Metro สาย Ginza, Keisei ซึ่งเป็นสายที่สะดวกที่สุดในการไปสนามบินนาริตะ, และก็ยังมี Shinkansen สายเหนือ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเดินทางขึ้นเหนือไปจังหวัดโทชิงิ ฟุคุชิม่า เมืองเซ็นได อาโอโมริ ไปจนถึงฮอกไกโด
ชินจูกุ
ชินจูกุเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟที่วุ่นวายที่สุดในโลก เป็นย่านที่มีทุกอย่างตั้งแต่โรงแรม ย่านการค้าใต้ดิน ห้างใหญ่ๆ ของแบรนด์เนม ร้านอาหารทุกรูปแบบทั้งแบบถูก แพง ของธรรมดา ของแปลก ทุกอย่างที่หาได้ในโตเกียวต้องมีอยู่ที่นี่ แต่จะขาดแคลนที่เที่ยวแนวสันทนาการ สวนสาธารณะ แหล่งเรียนรู้และพิพิธภัณท์พอสมควร เมื่อเทียบกับอุเอโนะ
เช่นเดียวกับอุเอโนะ ย่านชินจูกุเหมาะกับการใช้เป็นศูนย์กลางการเดินทางในโตเกียวมากๆ เพราะโรงแรมเยอะและเดินทางสะดวก จะจองโรงแรมที่นี่ยาวๆ แล้วออกไปเที่ยวย่านอื่นๆโดยไม่ลากกระเป๋าไปก็เป็นอะไรที่เหมาะมาก การเดินทางนั้นสะดวกดีไม่มีปัญหาเพราะมีทั้งรถไฟ JR สาย Yamanote และรถไฟใต้ดินทั้ง Tokyo Metro และ Toei เพียงแค่นี้ก็ไปที่เที่ยวสำคัญๆได้ครบทุกแห่งในโตเกียว นอกจากนี้ก็ยังมีรถไฟสาย Odakyu ซึ่งเป็นสายรถไฟเพียงหนึ่งเดียวที่พาเราไปยังฮาโกเนะได้ (แต่ว่าไม่มีชินกังเซ็น)
อาซาคุสะ
อีกหนึ่งย่านที่มือใหม่หัดไปโตเกียวจะไปกันเป็นที่แรกๆ เป็นที่ตั้งของวัดที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของโตเกียว รอบๆเต็มไปด้วยย่านการค้าและร้านค้าที่ออกจะดูมีประวัติศาสตร์ มากกว่าที่จะเป็นย่านช้อปปิ้งแบบทันสมัยหรือห้างใหญ่ๆพร้อมของแบรนด์เนม ตำแหน่งของอาซาคุสะอยู่ไม่ไกลจากที่เที่ยวสำคัญอีกหนึ่งแห่งนั่นก็คือ Tokyo SkyTree ที่ใกล้จนดินไปได้ ถ้าวันไหนอากาศดีมากๆ ก็น่าลองขึ้นไปชมวิวซักครั้ง
หากวัดกันเรื่องความสะดวกในการเดินทาง อาซาคุสะจะแพ้ชินจูกุหรืออุเอโนะพอสมควรเพราะไม่มีรถไฟสายวงกลม JR Yamanote Line ซึ่งมักจะเป็นที่พึ่งของมือใหม่หัดเที่ยว ส่วนรถไฟใต้ดินก็มีไม่เยอะ Tokyo Metro เองก็มีเพียง Ginza Line สายเดียวเท่านั้น ส่วน Toei จะมีสาย Asakusa Line แต่ที่จริงแล้วสายรถไฟใต้ดินทั้งหลายนั้นเชื่อมถึงกัน ใครที่ไม่กังวลเรื่องเวลาเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองที่ต่างกันเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสถานีที่ใหญ่สุดๆอย่างอุเอโนะหรือชินจูกุนั้น จะพักที่นี่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น บรรยากาศที่ได้ถือว่าเกินคุ้ม
รอบสถานีโตเกียว
บริเวณรอบๆ “สถานีรถไฟ” โตเกียวนั้นถึงแม้จะได้ชื่อว่าโตเกียว แต่แท้จริงแล้วสำหรับนักท่องเที่ยวไม่สะดวกมากเหมือนกับย่านอย่างอุเอโนะหรือชินจูกุ โรงแรมโดยรวมก็มีราคาที่แพงกว่าย่านอื่นและน้อยกว่าพอสมควร ที่เที่ยวที่เดินก็ไม่เยอะ โดยส่วนตัวผมไม่แนะนำให้เลือกพักที่นี่เท่ากับย่านอื่นๆเพราะกลางคืนคงจะไม่สนุกเท่า ยกเว้นแต่ถ้าจำเป็นต้องนั่งรถไฟชินกังเซ็นลงใต้ (ไปนาโกย่า เกียวโต โอซาก้า ฟุกุโอกะ) ในวันรุ่งขึ้น การมาค้างที่นี่ซักคืนก็สะดวกไม่เลว
ถ้าหากเลือกพักที่นี่ สถานที่เที่ยวหลักๆที่สามารถเดินไปได้จากสถานีโตเกียวก็จะมีพระราชวังเป็นหลัก ตามด้วยย่านการค้าใต้ดินหลากหลายอย่างเช่น Tokyo Character Street, Tokyo Ichibangai (First Avenue,) Tokyo Ramen Street, Yaesu Underground เป็นหลัก มีย่านเดินช้อปบนดินเหมือนกันแต่เทียบกับอุเอโนะ ชินจูกุ อาซาคุสะแล้วขนาดเทียบกันไม่ได้ เชื่อว่าถ้าพักที่นี่ตอนกลางวันคงจะต้องเน้นนั่งรถไฟไปเที่ยวย่านอื่น เพราะการเดินทางนั้นสะดวกไม่แพ้ชินจูกุหรืออุเอโนะ สายรถไฟสำคัญก็คือ JR สาย Yamanote, Shinkansen ทั้งสายเหนือและสายใต้, แต่ว่ารถไฟใต้ดิน Tokyo Metro นั้นอาจจะต้องเดินไปถึงสถานีใกล้เคียงที่ชื่อ Otemachi ที่เป็นเหมือนสถานีโตเกียวของรถไฟใต้ดิน เพราะเป็นที่เปลี่ยนของรถไฟใต้ดินมากถึงห้าสาย (ส่วนตัวสถานี Tokyo เองนั้นมีเพียงสายเดียวคือ Marunouchi)
ฮาราจุกุ
กล่าวกันว่าเป็นย่านแห่งแฟชั่น ภาพแรกที่ทุกคนนึงถึงเวลาได้ยินชื่อย่านแห่งนี้ก็คือวัยรุ่นแต่งตัวล้ำๆ ความน่ารักของร้านค้าต่างๆ โลกสีชมพู แฟชั่น เสื้อผ้า และขนมหวานเป็นต้น ซึ่งก็ค่อนข้างจะแม่นยำ สิ่งแรกๆที่เหล่าผู้คนที่แวะมาเยือนย่านนี้อยากจะเห็นก็คือสิ่งเหล่านี้แหละ
แต่ว่าอีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้เมื่อกล่าวถึงฮาราจุกุก็คือ “ศาลเจ้าเมจิจิงงู” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆของโตเกียวที่ชาวต่างชาติต้องแวะมาดู ใครที่ชอบนมัสการสถานที่ท่องเที่ยวแนวศาสนา ที่นี่ก็เป็นทางเลือกแรกๆของโตเกียวที่น่าเก็บไว้พิจารณา นอกจากนี้ใกล้ๆกันก็ยังเป็นสวนสาธารณะโยโยงิ ซึ่งเป็นปอดของโตเกียวและสถานที่ๆเราจะได้ชมชีวิตะประจำวันของคนญี่ปุ่นแบบไม่ปรุงแต่งได้ดีที่สุดที่นึง เพราะมีทั้งคนที่มาเดินเล่น ออกำลัง ซ้อมดนตรี เปิดหมวก มีหลายอย่างที่เป็นมุมธรรมดาๆของคนญี่ปุ่น ที่จะหาดูไม่ได้หากไปแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆที่ออกแบบมาเพื่อขายของให้นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ โดยรวมน่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีครับ
โอไดบะ
อีกหนึ่งย่านสำคัญของโตเกียว โอไดบะเป็นเกาะที่มนุษย์สร้างขึ้นอยู่กลางทะเล บรรยากาศที่รู้สึกได้เลยในย่านโอไดบะก็คือ เมืองที่ใหม่ ถนนและฟุตบาทที่กว้าง ตึกที่จะอยู่ห่างๆกันพอสมควร อากาศก็สะอาด และมีลมทะเลตลอดเวลา เพราะว่าที่นี่เป็นเมืองที่ใหม่กว่าส่วนอื่นๆในโตเกียว การออกแบบและวางผังเมืองก็ทำได้ทันสมัยกว่า “เมืองเก่า” หรือย่านอื่นๆของโตเกียวด้วย
ที่เที่ยวเด่นๆมักจะเป็นจุดชมวิวและห้างใหญ่ อย่างเช่นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นสะพาน Rainbow Bridge และเทพีเสรีภาพจำลองได้ หรือห้าง Diver City ที่มีสัญลักษณ์เป็นลานกว้างที่มีหุ่นกันดั้มขนาดเท่าตัวจริงตั้งอยู่เป็นต้น
ส่วนโรงแรมในย่านนี้นั้นมีไม่เยอะมาก ส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรมตึกสูง ราคาก็พอสมควร แต่ก็มีข้อดีคือความเงียบและวิวของอ่าวโตเกียวที่สามารถเหฆ็นได้อย่างชัดเจนหากอยู่สูงพอ ส่วนการเดินทางนั้นค่อนข้างจะแพ้สถานีหลักอื่นๆ เพราะไม่มีรถไฟใต้ดินเลย ต้องนั่งรถเล็กอย่างสาย Yurikamome ไปต่อในเมืองเท่านั้น อาจจะไม่เหมาะกับคนที่อยากค้างที่เดียวโดยไม่ย้ายแล้วออกไปตะลุยเที่ยวเท่าไหร่นัก แต่ถ้ามีงบและชอบบรรยากาศริมทะเล ไม่มีเหตุผลอะไรให้ไม่เลือกที่นี่
การเดินทางไปเมืองอื่นๆ จากโตเกียว
อีกหนึ่งปัญหาโลกแตกที่คนสงสัยกันก็คือ จะไปโตเกียวแล้วในทริปเดียวกันอยากไปเมืองอื่นแถมด้วยได้มั้ย แต่จะหาคำตอบได้ต้องดูก่อนว่า
หนึ่ง เราจะอยู่ญี่ปุ่นกี่วัน
สอง เมืองที่จะไปอีกเมืองคือที่ไหน อยู่ไกลโตเกียวมากมั้ย
และที่สำคัญคือ เราพร้อมที่จะเหนื่อยกับการเดินทางมากแค่ไหน
จากโตเกียวแวะไปภูเขาไฟฟูจิได้มั้ย ต้องค้างหรือเช้าไปเย็นกลับ
โตเกียวนั้นอยู่ไม่ไกลจากภูเขาฟูจิมาก แต่การเดินทางไปภูเขาฟูจิใช้เวลาค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับระยะทางของมัน ตัวอย่างเช่น หากคิดจะเดินทางจากสถานีโตเกียวด้วยรถไฟไปยังทะเลสาบคาวากูจิโกะ ซึ่งเป็นแหล่งที่พักยอดนิยมตรงตีนเขาฟูจิ อย่างเร็วที่สุดก็ใช้เวลาถึงสองชั่วโมงครึ่ง (ซึ่งใช้เวลาเท่ากับการเดินทางจากโตเกียวไปโอซาก้าด้วยชินกังเซ็นขบวนที่เร็วที่สุด ทั้งที่โอซาก้าไกลกว่ามาก) เพราะฉะนั้นหากต้องการไปเที่ยวกลางวันแล้วตอนเย็นกลับสู่ใจกลางโตเกียว ก็ต้องใช้เวลาถึงห้าชั่วโมงไม่ต่างจากเกียวโตหรือโอซาก้า ผมจึงเชื่อว่าการค้างคืนเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แม้โดยระยะทางแล้วฟูจิจะไม่ไกลจากโตเกียวก็ตามที
ไปโตเกียวแล้วแวะไปโอซาก้า เกียวโตได้มั้ย
การแวะไปโอซาก้าหรือเกียวโตนั้นสามารถทำได้ การเดินทางร้อยทั้งร้อยมักจะใช้ชินกังเซ็น แต่ก็มีหลายคนที่เลือกใช้ "รถบัสนอน" ซึ่งรถจะออกจากโตเกียวตอนกลางคืนแล้วไปถึงเกียวโตหรือโอซาก้าตอนเช้าพอดี บวกกับราคาที่ถูกกว่าชินกังเซ็นหลายเท่า ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ยังอายุน้อยที่อยากประหยัดเวลาเดินทาง เพิ่มเวลาเที่ยว
แต่สิ่งสำคัญหากเลือกที่จะไปโตเกียวแล้ว ผมแนะนำว่าก่อนจะเพิ่มโอซาก้าหรือเกียวโต ให้ดูก่อนว่าเราจะเดินทางไปญี่ปุ่นนานซักกี่วัน ถ้าอยู่แค่ห้าหรือหกวันผมแนะนำว่าให้อยู่แค่โตเกียวและสำรวจบริเวณรอบๆก็พอครับ เพราะแค่ห้าหกวันนั้นยังไงก็ดูไม่หมดแน่นอน ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ควรเสียเวลาเดินทางไกลเพิ่มโดยไม่จำเป็น นอกจากจะเหนื่อยมากขึ้นแล้วยังจะมีเวลาเที่ยวทั้งสองที่น้อยลงอีกด้วย ลองนึกภาพตัวเองอยู่โตเกียวสามวันแล้วอยู่โอซาก้าอีกสองวันครับ นอกจากที่หลักๆแล้ว คงไม่มีเวลาไปที่อื่นซักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากมีเวลาซักสิบวันก็น่าพิจารณาอยู่นะ
แวะไปฮอกไกโด ซัปโปโรได้มั้ย
การไปฮอกไกโดนั้นในปัจจุบันมีทางเลือกไม่มาก ในปัจจุบันไม่มีรถไฟนอนที่สามารถเดินทางจากโตเกียวไปซัปโปโรในต่อเดียวแล้ว ชินกังเซ็นเองก็ไปถึงเพียงแค่ฮาโกดาเตะ (ซึ่งไม่ใช่เป้าหมายของคนส่วนใหญ่ และยังไกลจากเป้าหมายหลักอย่างซัปโปโรอยู่มากๆ) ทำให้วิธีการเดินทางอันดับหนึ่งยังคงเป็นเครื่องบิน ซึ่งก็มีราคาแพงพอสมควร และถึงแม้ในปัจจุบันจะมีสายการบินโลว์คอสต์เป็นทางเลือกแล้ว แต่ก็ยังติดปัญหาเรื่องเวลาอยู่ดี
การเดินทางจากโตเกียวไปเมืองในฮอกไกโดเช่นซัปโปโรหรือฮาโกดาเตะนั้น ใช้เวลาบินอย่างเดียวชั่วโมงครี่ง หากรวมกับเวลาเดินทางไปกลับสนามบิน เวลารอเช็คอิน รอขึ้นลงเครื่อง รับกระเป๋า และเดินทางออกจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมืองแล้ว ก็อยากให้ตีเอาไว้ง่ายๆเอาไว้เลยว่าถึงจะเร็วยังไงก็น่าจะซัก 5-6 ชั่วโมง ซึ่งอาจจะนานยิ่งกว่านี้หากไม่คุ้นเคยกับการเดินทางภายในประเทศญี่ปุ่น
ฮอกไกโดเป็นที่ๆไม่แนะนำให้ใส่รวมไว้ในทริปเดียวกับโตเกียวเลยถ้าเป็นไปได้ เพราะจะเหนื่อยโดยใช่เหตุกับเวลาการเดินทางที่เพิ่มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ขาละ 5-6 ชั่วโมง และถ้าไปกลับก็อาจจะเกิน 12 ชั่วโมง เสียเวลาเที่ยวและเงินโดยใช่เหตุ ถ้าชีวิตนี้ตั้งใจจะมาเที่ยวญี่ปุ่นมากกว่าหนึ่งครั้งก็อยากจะแนะนำให้แยกทริปโตเกียวกับฮอกไกโดไว้คนละทริปเลยจะดีที่สุด โดยถ้าอยากเที่ยวโตเกียว ก็บินจากไทยมาลงที่นาริตะหรือฮาเนดะแล้วเที่ยวให้เต็มที่ ถ้าอยากเที่ยวซัปโปโรและฮอกไกโด ก็บินจากไทยไปลงที่สนามบิน New Chitose โดยตรงเลย ไม่ต้องแวะโตเกียวจะดีที่สุด
ถ้าชีวิตนี้ตั้งใจจะมาญี่ปุ่นมากกว่าหนึ่งครั้งอยู่แล้ว แยกดีกว่านะ