All About Japan

10 ที่เที่ยวห้ามพลาดเมื่อไปเยือนกุนมะ (Gunma)

ภูเขา ที่ราบสูง น้ำตก แผนการการเดินทาง Gumma Kanto
10 ที่เที่ยวห้ามพลาดเมื่อไปเยือนกุนมะ (Gunma)

กุนมะ (Gunma) เป็นจังหวัดในภูมิภาคคันโต สามารถเดินทางจากโตเกียวด้วยรถไฟแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น เป็นจังหวัดที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งออนเซ็นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆที่น่าสนใจอีกมากมาย และนี่ก็คือ 10 ที่เที่ยว ที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนกุนมะ

1. คุซัทสึ ออนเซ็น (Kusatsu Onsen)

1. คุซัทสึ ออนเซ็น (Kusatsu Onsen)

เมืองออนเซ็นชื่อดังที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมายาวนานที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ตั้งอยู่กลางหุบเขาในจังหวัดกุนมะและอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลราว 1,200 เมตร จึงเป็นเมืองที่อากาศดีตลอดทั้งปี โดยจะมีน้ำพุร้อนธรรมชาติอยู่ใจกลางเมือง ในแต่ละนาทีมีน้ำร้อนธรรมชาติไหลออกมาเป็นปริมาณมหาศาล ทำให้เมืองโดยรอบมีไอน้ำปกคลุมอยู่ตลอดเวลา เป็นวิวทิวทัศน์ที่น่าชมโดยเฉพาะในตอนกลางคืน

สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างของคุซัทสึออนเซ็นก็คือ ยูบาทาเกะ (Yubatake) แหล่งน้ำแร่ธรรมชาติที่มีไอน้ำพุร้อนสีขาวพวยพุ่งขึ้นมาจากกลางแหล่งออนเซ็น ซึ่งมีปริมาณมากที่สุดในญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการช่วยรักษาโรคต่างๆพร้อมทั้งผ่อนคลายความเครียดได้ด้วย

วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟ JR สาย Agatsuma ไปลงที่สถานี Naganoharakusatsuguchi แล้วต่อรถบัสอีกประมาณ 25 นาที

ค่าเข้าชม : ขึ้นอยู่กับการใช้บริการ

เวลาทำการ : ตลอดทั้งปี

2. น้ำตกฟูคิวาเระ โนะ ทาคิ (Fukiware no taki)

2. น้ำตกฟูคิวาเระ โนะ ทาคิ (Fukiware no taki)

เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากในกุนมะ มีความสูง 7 เมตร กว้าง 30 เมตร และด้วยลักษณะการไหลของกระแสน้ำจากลำธารทั้งด้านซ้ายและด้านขวาไหลลงช่องหินที่แตกโค้งเว้า จึงมีรูปร่างไม่เหมือนกับน้ำตกอิื่นๆในญี่ปุ่นและได้รับสมญานามว่าน้ำตกไนแองการ่าของญี่ปุ่น

ที่นี่เป็นจุดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวถึง 1ล้านคนต่อปี (แสดงว่าวันหนึ่งๆต้องมีมากกว่า 3000 คน) โดยไฮไลท์ที่น่าสนใจคือช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีประมาณเดือนพฤศจิกายน ซึ่งบริเวณรอบๆน้ำตกถือว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดกุนมะด้วย

วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟ JR สาย Joetsu ไปลงที่สถานี Numata แล้วต่อรถบัสอีกประมาณ 40 นาที

ค่าเข้าชม : ไม่มี

เวลาทำการ : เปิดให้เข้าชมทุกวัน ยกเว้นวันหยุดช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนธันวาคม-มีนาคม

3. โอเซะกาฮาระ (Ozegahara Marshland)

3. โอเซะกาฮาระ (Ozegahara Marshland)

เป็นที่ราบลุ่มชุ่มน้ำขนาดใหญ่ ตั้งอยู่อยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติโอเซะ มีชื่อเสียงจากการเป็นแหล่งที่อยู่ของพืชและสัตว์หายากมากมาย เช่นพันธุ์พืชที่มีมาตั้งแต่สมัยยุคน้ำแข็งซึ่งยังสามารถเติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่พิเศษ นั่นคือเป็นพื้นที่แอ่งกระทะที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูง โดยรวมแล้วเหมาะกับนักเดินทางที่ชอบพืชและสัตว์แปลกๆ หรือชอบการเดินป่า ปีนเขา ไฮกิ้ง พร้อมกับวิวสวยๆ มากกว่าคนที่เที่ยวชมวิวแบบสบายๆ

ในทุกฤดู ที่นี่จะมีบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไปและมีดอกไม้ตามฤดูกาลให้ได้ไปเดินเที่ยวชมตลอดปี เช่น ดอกกะหล่ำปลีสีขาวในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิและดอกลิลลี่สีเหลืองในฤดูร้อน บานสะพรั่งเต็มที่ไปทั่วพื้นที่ ท่ามกลางบรรยากาศของป่าเขาและธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ และวิวพระอาทิตย์ตกดินที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟ JR สาย Joetsu ไปลงที่สถานี Numata แล้วต่อรถบัส Kan-Etsu Bus อีกประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

ค่าเข้าชม : ไม่มี

เวลาทำการ : เปิดตลอดทั้งปี แต่จะมีการปิดถนนและทางเข้าบางเส้นทางในช่วงหน้าหนาว เดือนพฤศจิกายน-เมษายน

4. ชิมะออนเซ็น (Shima onsen)

4. ชิมะออนเซ็น (Shima onsen)

เมืองออนเซ็นบรรยากาศเงียบสงบบนหุบเขาที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งในกุนมะ มีบรรยากาศแบบเก่าแก่และเป็นที่ตั้งเรียวกังที่เป็นต้นแบบของสถานที่ในภาพยนตร์แอนิเมชั่นดังของสตูดิโอจิบลิเรื่อง Spirited Away

ภายในเมืองออนเซ็นแห่งนี้มีบริการทั้งโรงอาบน้ำสาธารณะ ออนเซ็นเท้า แหล่งดื่มน้ำออนเซ็น ซึ่งว่ากันว่าน้ำพุร้อนที่ชิมะออนเซ็นมีส่วนประกอบของเกลือกำมะถันที่มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาบาดแผล โรคปวดเส้นประสาท และผ่อนคลายความเหนื่อยล้ารวมถึงรักษาโรคต่างๆได้เป็นอย่างดี ที่นี่จึงเหมาะกับการเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อน ทั้งแบบไปเช้าเย็นกลับหรือจะพักค้างแรมด้วยก็ได้

วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟ JR สาย Agatsuma ไปลงที่สถานี Nakanojo แล้วต่อรถบัส Kan-Etsu Bus อีกประมาณ 40 นาที ไปลงที่ป้าย Shima Onsen

ค่าเข้าชม : ขึ้นอยู่กับสถานที่ๆใช้บริการ

เวลาทำการ : ตลอดทั้งปี

5. โรงงานผ้าไหมโทมิโอกะ (Tomioka Silk Mill)

5. โรงงานผ้าไหมโทมิโอกะ (Tomioka Silk Mill)

สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของกุนมะ นั่นก็คือความสำคัญในฐานะ “ดินแดนแห่งผ้าไหม” โรงงานแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1872 เป็นโรงงานต้นแบบแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่น เพื่อทำให้การผลิตผ้าไหมดิบทันสมัย ด้วยสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นหาดูได้ยาก คือมีการผสมผสานระหว่างหลังคากระเบื้องแบบญี่ปุ่นกับอิฐแดงและประตูแบบตะวันตก รวมถึงการก่ออิฐที่เสาไม้และกำแพงฉาบปูน

โรงงานไหมแห่งนี้ได้เลิกกิจการไปในปี 1987 ปัจจุบันกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมตั้งแต่สมัยรัฐบาลเมจิ และในปัจจุบัน โรงไหมและกลุ่มอาคารที่เกี่ยวข้องก็ได้รับเลือกจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2014 ในฐานะแหล่งที่ตั้งทางประวัติศาสตร์และอาคารที่ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดี

วิธีการเดินทาง : จากสถานีรถไฟ Joshu-Tomioka แล้วเดินต่ออีกประมาณ 15 นาที

ค่าเข้าชม :ผู้ใหญ่ 1,000 เยน, นักศึกษามหาวิทยาลัย และนักเรียนมัธยมปลาย 250 เยน, นักเรียนมัธยมต้นและนักเรียนประถม 150 เยน

เวลาทำการ : 9.00-17.00 น. (เข้าก่อน 16.30 น.)

6. ศาลเจ้าฮารุนะ (Haruna Shrine)

6. ศาลเจ้าฮารุนะ (Haruna Shrine)

เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ตั้งอยู่อยู่กลางภูเขาฮารุนะในจังหวัดกุนมะ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ที่ผู้คนมักจะเดินทางมาเพื่อขอให้คำอธิษฐานเป็นจริงได้ในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำเกษตรกรรม , การค้าขาย, ความรัก ซึ่งระหว่างทางเดินเข้าสู่ศาลเจ้าจะมีรูปปั้น 7 เทพเจ้าแห่งโชคลาภตั้งอยู่ด้วย และตามความเชื่อคือให้ลูบพุงของรูปปั้นเทพเจ้าเพื่อรับพลังแห่งโชคลาภ

นอกจากนี้ในบริเวณศาลเจ้าก็ยังมีพื้นที่น่าสนใจอื่นๆ เช่น "หินผาโฮโคอิวะ” (Hoko-iwa) ที่ต้องขึ้นบันไดหินไปชมและอธิษฐานขอพร หรือจะเป็นอารามหลักของศาลเจ้าที่สร้างขึ้นอย่างโดดเด่นด้วยศิลปะงานแกะสลักแบบโบราณ อีกทั้งพื้นที่ของศาลเจ้าก็สงบร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นสนและภูเขา สมกับเป็นจุดรับพลังจากเทพเจ้า (ญี่ปุ่นเรียกที่แบบนี้ว่า Power Spot)

วิธีการเดินทาง : จากสถานีรถไฟ Takasaki นั่งรถบัส Gunma Bus ต่อไปอีกประมาณ 50 นาที ลงที่ป้าย Haruna Jinja-mae

ค่าเข้าชม : ไม่มี

เวลาทำการ : ตลอดทั้งปี

7.วัดโมรินจิ (Morinji Temple)

7.วัดโมรินจิ (Morinji Temple)

ตั้งอยู่ที่เมืองทาเทบายาชิในจังหวัดกุนมะ เป็นวัดที่มีตำนานชื่อดังเรื่อง “บุนบุคุ จาคามะ” หรือตัวทานุกิที่แปลงร่างเป็นกาน้ำ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภและความอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งเรื่องความรักด้วย

เมื่อเดินเข้ามาถึงบริเวณวัด ระหว่างทางจะได้พบกับรูปปั้นตัวทานุกิตั้งอยู่เรียงรายทั้งหมด 21 ตัว เรียกว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังสามารถชมวิวธรรมชาติได้ที่บริเวณลุ่มน้ำทางทิศเหนือของวัด ซึ่งในช่วงฤดูหนาวก็จะได้พบกับนกกระเรียนที่นี่ด้วย

วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟสาย Tobu Isesaki Line ลงสถานี Morinjimae เดินต่อไปอีกประมาณ 10 นาที

ค่าเข้าชม : ไม่มี ยกเว้นอาคารพิพิธภัณท์เก็บสมบัติที่มีค่าเข้า ผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 100 เยน

เวลาทำการ : 9.00-16.00 น.

8. วัดเบียคุเอะไดคันนง (Byakui Daikannon Jigen-in)

8. วัดเบียคุเอะไดคันนง  (Byakui Daikannon Jigen-in)

ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นแลนมาร์กของเมืองทาคาซากิในจังหวัดกุนมะ สิ่งที่เป็นไฮไลท์สำคัญก็คือรูปปั้นองค์เจ้าแม่กวนอิม (คันนง) ความสูง 41.80 เมตร ซึ่งชาวเมืองให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก โดยด้านใจขององค์พระทุกคนสามารถขึ้นบันไดด้านในเพื่อไปสักการะและชมวิวมุมสูงของเมืองได้

ที่วัดแห่งนี้มีเทศกาลที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์สัปดาห์ที่ 4 เดือนสิงหาคมของทุกปี ในงานมีการจุดเทียนไขถวายแด่พระพุทธเจ้า โดยทั่วทั้งพื้นที่ในยามค่ำคืนจะถูกประดับประดาด้วยโคมไฟและเทียนไขอย่างงดงาม ซึ่งเป็นบรรยากาศที่สวยงามและมีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาเที่ยวชมเป็นจำนวนไม่น้อยเลย

วิธีการเดินทาง : จากสถานีรถไฟ Takasaki นั่งรถบัสสาย Gururin Kannon-Yama Line ไปลงที่ป้าย Kannon-sancho แล้วเดินต่ออีก 10 นาที

ค่าเข้าชม : ไม่มีค่าเข้าในบริเวณวัด หากจะเข้าชมภายในรูปปั้นต้องเสียต่าเข้า ผู้ใหญ่และนักเรียนมัธยมปลายขึ้นไป ราคา 300 เยน เด็กนักเรียนมัธยมต้นลงไป ราคา 100 เยน

เวลาทำการ : ช่วงเดือนมีนาคม-ตุลาคม 09.00 – 17.00 น. และช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ 09.00 – 16.30 น.

9. สวนป่าธรรมชาติอาคางิ (Akagi Nature Park)

9. สวนป่าธรรมชาติอาคางิ (Akagi Nature Park)

สวนป่าธรรมชาติอาคางิ ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาอาคางิทางทิศตะวันตก ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเลราวๆ 700 เมตร เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิด โดยในแต่ละฤดูกาลก็จะได้พบกับดอกไม้บานสะพรั่งที่แตกต่างกันไป รวมทั้งในฤดูใบไม้ร่วง ที่นี่ก็เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงามมากอีกแห่งหนึ่ง

สวนป่าธรรมชาติอาคางิใช้เวลาตลอด 30 ปีในการปรับปรุงสภาพพื้นที่ภายในสวนให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินเข้าไปชมต้นไม้และดอกไม้สวยงามนานาพรรณได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้พบเจอแมลงชนิดต่างๆ ผีเสื้อ รวมถึงสัตว์เล็กๆที่น่ารักอีกด้วย เหมาะกับการมาพักผ่อนสบายๆในวันว่างเป็นอย่างยิ่ง

วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟ JR สาย Joetsu ไปลงที่สถานี Shibukawa แล้วต่อรถบัสอีกประมาณ 20 นาที (รถบัสมีให้บริการเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ของเดือนเมษายนถึงพฤศจิกายนเท่านั้น)

ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่และเด็กมัธยมปลายขึ้นไป 1000 เยน เด็กมัธยมต้นลงไปไม่เสีย

เวลาทำการ : 9.00-16.30 น. (เข้าสวนได้ถึง 15.30 น.)
ในช่วงเดือนเมษายน-พฤศจิกายน หยุดทุกวันอังคาร (ยกเว้นเดือนพฤษภาคมที่เปิดบริการทุกวันไม่มีวันหยุด)
ในช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคม เปิดเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์

10. ทานิงาวะดาเกะ (Mount Tanigawa)

10. ทานิงาวะดาเกะ (Mount Tanigawa)

เป็นภูเขาที่ได้รับความนิยมจากบรรดานักปีนเขามากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น สูงจากระดับน้ำทะเล 1,977 เมตร ทางทิศตะวันออกของภูเขาคือจุดศูนย์กลางกิจกรรมของนักปีนเขาที่เรียกว่า “อิจิโนะคุระซาวะ” ซึ่งในฤดูหนาวที่นี่จะถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ส่วนในช่วงฤดูใบไม้ผลิหลังจากหิมะละลายก็จะได้พบทิวทัศน์ของลำธารสีฟ้าที่สดใส ส่วนช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็จะเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงามมาก และนอกจากกิจกรรมปีนเขาแล้วก็มีกิจกรรมเดินป่าสำรวจเส้นทางธรรมชาติในช่วงเดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน ซึ่งได้รับความนิยมจากนักเดินป่าเป็นจำนวนไม่น้อย

สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปที่ไม่ได้มาปีนเขาหรือเดินป่าก็สามารถนั่งโรปเวย์ประมาณ 15 นาทีไปจนถึงบริเวณที่ราบบนยอดเขา "เท็นจินไดระ" ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,321 เมตร ซึ่งสามารถชมวิวแบบพาโนรามาท่ามกลางบรรยากาศที่สวยงามได้ในทุกฤดูกาล และยังเป็นที่เล่นสกีในฤดูหนาว

วิธีการเดินทาง : จากสถานีรถไฟ Minakami ต่อรถบัสประมาณ 20 นาที ไปลงที่สถานีเคเบิ้ลคาร์ Tanigawadake Ropeway หรือนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Doai ใช้เวลา 8 นาทีแล้วเดินขึ้นเนินไปอีกประมาณ 15 นาที

ค่าเข้าชม : ค่าบริการรถกระเช้า ผู้ใหญ่เที่ยวละ 1,230 เยน ไป-กลับ 2,060 เยน
เด็กเที่ยวละ 620 เยน / ไป-กลับ 1,030 เยน

เวลาทำการ : หมายถึงเวลาเปิดบริการของรถกระเช้า
ช่วงเดือนเมษายน – พฤศจิกายน วันธรรมดา 8.00-17.00 น.
ช่วงเดือนเมษายน – พฤศจิกายน วันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 7.00-17.00 น.
ช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคม ให้บริการตั้งแต่ 8.30-16.30 น.

know-before-you-go