10 สิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนมิเอะ (Mie)
1.ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Jingu Grand Shrine) ศาลเจ้าที่สำคัญที่สุดในญี่ปุ่น อยู่ที่มิเอะนี่เอง
ศาลเจ้าชินโตที่มีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่คนญี่ปุ่นเองก็ปรารถนาจะไปสักการะให้ได้สักครั้งในชีวิต เป็นศาลเจ้าเก่าแก่อายุกว่า 2,000 ปี ตั้งอยู่ในเมืองอิเสะ ท่ามกลางป่าสนกับบรรยากาศที่ดูขลังและลี้ลับ มีพื้นที่หลายส่วนที่มีความสำคัญแตกต่างกันไป การมาสักการะขอพรที่ศาลเจ้าแห่งนี้จะเริ่มจากศาลเจ้าด้านนอกที่เรียกว่า เกะคู (Geku) จากนั้นจึงไปสักการะเทพเจ้า อะมาเทราสุ (Amaterasu) ที่เชื่อกันว่าเป็นต้นตระกูลของจักรพรรดิญี่ปุ่นด้วย ที่ศาลเจ้าด้านในหรือ ไนคู (Naiku) ตามลำดับ
วิธีเดินทาง : นั่งรถบัสของ JR หรือ Kintetsu มาลงที่สถานี Iseshi แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
ค่าเข้า : ไม่มี
เวลาทำการ :
ตุลาคม – ธันวาคม: 05:00 – 17:00 น.
มกราคม – เมษายน: 05:00 – 18:00 น.
พฤษภาคม – สิงหาคม: 05:00 – 19:00 น.
และเปิดให้เข้าชมตลอดปีไม่มีวันหยุด
2. โอฮาไรมาชิ (Oharaimachi) ย่านชอปปิ้งใกล้ศาลเจ้าอิเสะ
คือย่านการค้าที่ตั้งอยู่ใกล้กับศาลเจ้าอิเสะจนสามารถเดินไปมาระหว่างกันได้ จุดเด่นของที่นี่คือ ร้านค้าญี่ปุ่นบรรยากาศย้อนยุค ที่ตั้งเรียงรายตลอดสองข้างทาง และในซอยโอคาเกะ โยโคโจ (Okage Yokocho) ก็มีอาคารเก่าแก่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่น ที่สำคัญคือเป็นแหล่งรวมของอร่อยขึ้นชื่อของมิเอะมากมายทั้งของคาว ของหวาน เช่น อิเสะอุด้งเส้นนุ่มหนึบ เมนูจากเนื้อมัตสึซากะ ขนมโมจิถั่วแดงกวน และคร็อกเก้สูตรเฉพาะของที่นี่เป็นต้น
วิธีเดินทาง : จากศาลเจ้าอิเสะ โซนไนกู (Naiku) เดินต่อไปอีกประมาณ 15 นาที
ค่าเข้า : ไม่มี
เวลาทำการ : ตลอดทั้งปี ตั้งแต่ 09:30-17:30 น. และแตกต่างกันบ้างแล้วแต่ร้านค้า
3. ชมงานประดับไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น นาบานะ โนะ ซาโตะ (Nabana no Sato)
ที่นี่เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่บนเนื้อที่ราวๆ 3 แสนตารางเมตร และมีดอกไม้นานาชนิดที่จะได้ชมดอกบานตามฤดูกาลตลอดปี สำหรับงานอิลลูมิเนชั่นที่ นาบะนะ โนะ ซาโตะ จะจัดขึ้นในช่วงฤดูหนาวของทุกปียาวไปจนถึงเดือนพฤษภาคม โดยแต่ละปีก็จะมีธีมของการประดับไฟแตกต่างกันไป จุดเด่นของงานนี้คือความยิ่งใหญ่อลังการของแสงไฟ ที่เดินชมได้ไม่รู้เบื่อ โดยเฉพาะทางเดินในอุโมงค์ไฟที่มีบรรยากาศสวยงามราวกับอยู่ในความฝัน นอกจากนี้ ยังมีมุมออนเซ็นเท้าสำหรับคนที่เดินเที่ยวจนเหนื่อยอีกด้วย
วิธีเดินทาง : จาก สถานีคุวานะ (Kuwana Sta.) นั่งรถบัส Mie Transportation ลงที่ป้ายนาบานะโนะซาโตะ (Nabana no Sato Bus stop) ใช้เวลาประมาน 10 นาที
ค่าเข้า : 2,300 เยน (รวมค่าคูปองใช้ภายในงาน มูลค่า 1,000 เยน)
เวลาทำการ : การแสดงไฟจัดในเดือนตุลาคม-พฤษภาคม ของทุกปี แต่สวนดอกไม้เปิดตลอดปี
4. หมู่บ้านนินจาอิงะ (Iga Ninja Museum)
ตั้งอยู่ในเมืองอิงะ เมืองที่ว่ากันว่าเป็นที่อยู่ของเหล่านินจามาแต่โบราณ มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร เป็นสถานที่ๆเต็มไปด้วยเรื่องราวของนินจาในรูปแบบต่างๆ
ที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษคือ การแสดงโชว์ของนินจาแล้วที่มีให้ชมทุกวัน และยังมีการจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้จากบ้านซึ่งเหล่านินจาเคยอาศัยอยู่ โดยมีเหล่านินจาผู้หญิงหรือที่เรียกว่า “คุโนอิจิ” คอยสาธิตการใช้กับดักและกลไกภายในบ้านให้ชมด้วย หรือจะไปชมอุปกรณ์นินจาที่เหล่านินจาเคยใช้งานจริงนับร้อยชิ้นก็มี มีอาคารจัดแสดงรหัสลับและเอกสารโบราณที่ถูกถอดรหัส การทดลองขว้าง “ชูริเคน” หรือ ดาวกระจาย ที่ได้รับความสนใจมาก เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ๆคนรักนินจาไม่ควรพลาดจริงๆ
วิธีเดินทาง : นั่งรถไฟสาย Kintetsu Limited Expresss ไปลงที่สถานี Igakambe แล้ว นั่งรถไฟสาย Iga Railway ไปลงที่สถานี Ueno-shi แล้วเดินต่อไปที่ พิพิธภัณฑ์ Igaryu Ninja ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
ค่าเข้า : ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 756 เยน เด็ก (4 -15 ปี ) 432 เยน ค่าชมการแสดงนินจา 400 เยน
เวลาทำการ : เปิดทำการ ตั้งแต่ 9:30-5:00 น. (หยุดปีใหม่ 29 ธันวาคม - 1 มกราคม )
5. โกไซโช โรปเวย์ (Gozaisho Ropeway) ภูเขาสูงประจำจังหวัดมิเอะ
หรือภูเขาโกไซโช มีความสูงราวๆ 1,212 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล และเป็นอีกหนึ่งสถานที่ทางธรรมชาติในมิเอะ ที่สามารถเดินทางมาเที่ยวได้ทุกฤดู ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ กระเช้าชมวิวมุมสูง หรือ Gozaisho Ropeway ที่จะพาทุกคนไปชมทิวทัศน์ในมุมมองใหม่ๆ บนภูเขาแห่งนี้ โดยเฉพาะในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจนถึงฤดูหนาว จะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาชมความสวยงามของธรรมชาติที่นี่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ก็จะมีปรากฏการณ์ต้นไม้กลายเป็นน้ำแข็ง (Ice Monster) ให้ได้ชมกันอีกด้วย
วิธีเดินทาง : นั่งรถไฟ Kintetsu สาย Yokkaichi ไปลงที่สถานี Kintetsu Yunoyama Onsen Sta. แล้วนั่งรถบัส Mie Kotsu bus อีก 8 นาที ไปลงสถานี Sanko Yunoyama Onsen Sta. จากนั้นเดินต่อไปอีก 10 นาทีไปที่โรปเวย์
ค่าเข้า : มีค่าใช้จ่ายในการขึ้นโรปเวย์ สำหรับผู้ใหญ่ แบบเที่ยวเดียว 1,240 เยน แบบไปกลับ 2,160 เยน สำหรับเด็ก (4-15 ปี) เที่ยวเดียว 620 เยน และไปกลับ 1,080 เยน
เวลาทำการ : เปิดทำการ 9:00-5:20 น. ในช่วงเดือนเมษายน - พฤศจิกายน และ 9:00-4:20 น. ในช่วงเดือนธันวาคม - มีนาคม
6. หินเมโอโตอิวะ (Meoto-iwa Rock) แวะมาขอพร
เชื่อว่าคงมีหลายคนที่เคยได้ยินเรื่องราวของหินเมโอโตอิวะ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หินแต่งงาน” อย่างแน่นอน ลักษณะของหินนี้ก็จะเป็นโขดหิน 2 ก้อนที่มีเชื่อก โอชิเมนาวะ (Oshime Nawa) ผูกเชื่อมต่อกันไว้ หินผู้ชาย (โออิวะ) สูง 9 เมตร ส่วนหินผู้หญิง (เมอิวะ) ที่ตั้งอยู่ข้างๆสูง 4 เมตร เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตคู่ที่ราบรื่นของสามีภรรยา โดยทุกปีจะมีการทำพิธีเปลี่ยนเชือกนี้ 3 ครั้ง ที่เรียกกันว่าพิธี โอชิเมนาวะ ฮาริคาเอชินจิ (Oshimenawa Harikaeshinji) ซึ่งเป็นพิธีที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจเดินทางไปชมและขอพรเรื่องความรักเป็นจำนวนมาก จุดเด่นอีกอย่างคือ เสาโทริอิของศาลเจ้า ที่ตั้งอยู่ที่หินสองก้อนนี้ ซึ่งประมาณเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม จะสามารถชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นจากระหว่างหินสองก้อนนี้ และในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคมก็จะเห็นพระจันทร์เต็มดวงขึ้นสู่ท้องฟ้าจากระหว่างหินสองก้อนนี้ เป็นวิวที่น่าชมมาก
วิธีเดินทาง : นั่งรถไฟ JR ไปลงที่สถานี Futaminoura Sta. และเดินจากสถานีนี้ไปอีกประมาณ 25 นาที หรือโดยสารแท็กซี่ 10 นาที
ค่าเข้า : ไม่มี
เวลาทำการ : เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง
7. เกาะไข่มุกมิกิโมโตะ (Mikimoto Pearl Island)
ความสำคัญของเกาะนี้คือเป็นเกาะที่ประสบความสำเร็จด้านการเพาะเลี้ยงไข่มุกครั้งแรกในโลก และยังเป็นถิ่นกำเนิดของแบรนด์ MIKIMOTO แบรนด์ไข่มุกและเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ปัจจุบัน มีแหล่งท่องเที่ยวบนเกาะนี้ที่ชื่อว่า สวนสนุกแห่งไข่มุก และมีร้านขายของที่นักท่องเที่ยวสามารถซื้อเครื่องประดับ แบรนด์มิกิโมโตะ และมีพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงความงามของไข่มุก นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการของมีค่าชนิดต่าง ๆ ที่น่าสนใจมากมาย เช่น ลูกโลกที่สร้างขึ้นจากไข่มุก 12,541 เม็ด, ทับทิม 377 เม็ด และเพชร 373 เม็ด นอกจากนี้ ในบริเวณใกล้ๆกันก็มีสวนญี่ปุ่น ศาลเจ้า จุดชมวิวบนเกาะ ที่นี่จึงเป็นอีกสถานที่ในมิเอะที่ได้รับความนิยมมากจากนักท่องเที่ยว
วิธีเดินทาง : จากสถานี JR หรือ Kintetsu สถานี Toba Sta. เดินต่อมาอีกประมาณ 5 นาที
ค่าเข้า : ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 1,500 เยน, เด็ก (4-15 ปี ) 750 เยน
เวลาทำการ : เปิดทำการทุกวันตั้งแต่ 08:30-18:00 น (อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามฤดูกาล)
8.คุมาโนะโคโด (Kumano Kodo) เส้นทางแสวงบุญที่ครอบคลึมจังหวัดมิเอะและวาคายามะ
ที่นี่เป็นสถานที่ตามความเชื่อแบบชินโตในมิเอะที่มีชื่อเสียงรองลงมาจากศาลเจ้าอิเสะ เป็นเส้นทางชายฝั่งระหว่างจังหวัดมิเอะและวาคายามา จุดเด่นที่น่าสนใจคือ เส้นทางแสวงบุญที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยมีลักษณะเป็นทางเดินไหว้พระที่เชื่อมต่อกับศาลเจ้าอิเสะในมิเอะเรียกว่า อิเสะจิ (Iseji) ระหว่างทางจะเดินผ่านเมืองโอวาเสะและคุมาโนะ ไปยังศาลเจ้าในวาคายามา ได้แก่ ศาลเจ้าคุมาโนะฮอนงู ( Kumano Hongu Taisha) ศาลเจ้าคุมาโนะฮายาทามะ (Kumano Hayatama) และศาลเจ้าคุมาโนะนาชิ (Kumano Nachi Taisha) ซึ่งศาลเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 แห่งนี้ มีชื่อเรียกรวมกันว่า คุมาโนะซันซัง (Kumano Sanzan)
วิธีเดินทาง : เดินทางโดยรถไฟ JR สาย limited express nanki ไปลงที่สถานี Kumanoshi Sta.
ค่าเข้า : ไม่มีค่าใช้จ่าย
เวลาทำการ : ตลอดปี
9. นาข้าวขั้นบันไดที่มารุยามา (Maruyama Senmaida)
ตั้งอยู่ในเมืองคุมาโนะ เป็นพื้นที่ที่มีนาข้าวผืนเล็กๆจำนวนมากกระจายออกไปสุดลูกหูลูกตา และชื่อ มารุยามา เซนไมดะ ก็หมายถึงทุ่งนาหนึ่งพันทุ่งกับนาข้าวขั้นบันไดที่ปกคลุมไปด้วยนาผืนเล็กๆกว่าหนึ่งพันผืน จนได้รับสมญานามว่าเป็นนาข้าวขั้นบันไดที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น ทิวทัศน์ของนาข้าว Maruyama senmaida จะมีความแตกต่างกันออกไปใน 4 ฤดูกาล โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน เป็นช่วงที่นาข้าวเต็มไปด้วยน้ำ ผิวน้ำจะสะท้อนแสงทำให้เกิดทัศนียภาพที่สวยงามมาก และเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเที่ยวชมความงดงามเป็นจำนวนมาก
วิธีเดินทาง : จากสถานี JR KumanoshiSta. เดินทางต่อด้วยรถยนต์หรือรถแท็กซี่อีกประมาณ 30 นาที
ค่าเข้า : ไม่มีค่าใช้จ่าย
เวลาทำการ : สามารถไปเที่ยวชมได้ทั้ง 4 ฤดูกาล
10. หมู่บ้านโบราณทาคิ (Taki-Cho)
เป็นหมู่บ้านในชนบทที่แวดล้อมไปด้วยภูเขา ป่า ต้นสน และมีไฮไลท์คือ ร้านอาหารชื่อ ฮินากายะ (Hinakaya) ซึ่งเป็นร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นโบราณและเน้นบรรยากาศความเป็นอยู่แบบญี่ปุ่นอย่างแท้จริง มีหลังคามุงด้วยฟางตามแบบอาคารของญี่ปุ่นในสมัยโบราณ ด้านในใช้เตาถ่านสุมไฟทำอาหาร และมีการตกแต่งห้องด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว ให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนยุคไปในสมัยก่อนของญี่ปุ่น ท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ ได้ยินเสียงน้ำไหล และเสียงนกร้อง อาหารที่เสิร์ฟ ก็เป็นอาหารชุดไคเซคิ หรืออาหารญี่ปุ่นดั้งเดิม ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล สด อร่อย ตกแต่งอย่างสวยงาม คล้ายกับงานศิลปะแขนงหนึ่ง
วิธีเดินทาง : จากสถานี JR taki Sta. ให้เดินทางต่อด้วยรถไฟสาย Sangu line ไปลงที่ สถานี Yamada-Kamiguchi จากนั้น ขึ้นรถบัสจากสถานีนี้อีก 32 นาที ไปลงป้าย Sakai แล้วเดินหรือนั่งรถแท็กซี่ไปที่ร้านฮินากายะ
ค่าเข้า : ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเที่ยวชมหมู่บ้านทาคิ และอาจมีค่าอาหาร แล้วแต่การใช้จ่าย
เวลาทำการ : สามารถไปเที่ยวชมหมู่บ้านโบราณทาคิได้ทุกฤดูกาล แต่ร้านอาหารฮินากายะ เปิดทำการ 11:00-15:00 น.