รู้รอบเรื่องศาลเจ้าเมจิ Meiji Jingu Shrine
ศาลเจ้าเมจิ
หากพูดถึงหนึ่งในศาลเจ้าดังของโตเกียว ที่อยู่คู่กับคนญี่ปุ่นมายาวนาน เป็นที่รู้จักทั่วโลก และเป็นสถานที่สำคัญในชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่น ก็คงเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก ศาลเจ้าเมจิ (明治神宮)
คนญี่ปุ่นเรียกศาลเจ้าเมจิว่า เมจิจินกู Meiji-Jingu"ส่วนใหญ่คนไทยเราจะคุ้นชินกับคำว่าศาลเจ้าในภาษาญี่ปุ่นว่า "จินจะ Jinja (神社)" กันเสียมากกว่า ที่ศาลเจ้าเมจิเรียกว่าเป็น "จินกู" นั้นก็เพราะว่า ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าที่บูชาคนในราชวงศ์ญี่ปุ่น (ในที่นี้ก็คือสมเด็จพระจักรพรรดิมุสึฮิโตะหรือจักรพรรดิเมจินั่นเอง) ทำให้มีชื่อเรียกเป็นพิเศษขึ้นมา
โดยที่ญี่ปุ่นมีศาลเจ้าที่เรียกว่า "จินกู" อยู่ประมาณ 20กว่าแห่ง ซึ่งไม่ใช่แค่เฉพาะความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังมีเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าต่างๆ ที่เชื่อกันว่าเป็นบรรพบุรุษของสมเด็จพระจักรพรรดิของญี่ปุ่นด้วย อย่างเช่นที่ศาลเจ้าอิเสะจินกู ศาลเจ้าที่คนญี่ปุ่นยกย่องให้เป็นศาลเจ้าที่มีความสำคัญอันดับหนึ่งนั้น เป็นซาลเจ้าที่บูชาเทพแห่งพระอาทิตย์ อามาเทราสุ เทพเจ้าสูงสุดในความเชื่อของศาสนาชินโตนั่นเอง จึงทำให้ศาลเจ้านี้สำคัญที่สุด
ประวัติศาลเจ้าเมจิ
ศาลเจ้าเมจิตั้งอยู่ที่เขตชิบูยะ หรือทางฝั่งทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองโตเกียวนั่นเอง ถึงจะมีชื่อว่าศาลเจ้าเมจิ แต่ถูกก่อสร้างในสมัยไทโชที่ 9 (ปี 1920) โดยมีจุดประสงค์เพื่ออุทิศถวายแด่ดวงวิญญาณของสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ และสมเด็จพระจักรพรรดินีโชเก็ง
สมเด็จพระจักรพรรดิเมจินั้นเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิองค์แรกในยุคที่ญี่ปุ่นเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ แม้งานพระราชพิธีจะถูกจัดขึ้นที่เมืองเกียวโต แต่ด้วยความเคารพและความศรัทธาที่มีต่อองค์สมเด็จพระจักรพรรดิ ชาวเมืองโตเกียวได้เรียกร้องให้มีการสร้างศาลเจ้าขององค์สมเด็จพระจักรพรรดิขึ้นที่เมืองหลวง โดยมีการเกณฑ์แรงงานจากทั่วประเทศมากว่า 10,000คนเพื่อทำการก่อสร้าง
ศาลเจ้าเมจิจะมีอยู่ด้วยกัน 2บริเวณ คือบริเวณสวนด้านในซึ่งเป็นอาณาบริเวณที่ตั้งศาลเจ้า ในส่วนนี้ใช้งบประมาณด้านภาษีที่รัฐบาลเก็บจากประชาชนในการสร้าง และบริเวณสวนด้านนอก ซึ่งเป็นอาคารจัดแสดงพระราชกรณียกิจต่างๆ ของสมเด็จองค์พระจักรพรรดิ หรือเรียกว่า Meiji Jingu Gaien (明治神宮外苑) โดยส่วนนี้เป็นงบประมาณจากการบริจาคของประชาชนทั่วไป โดยทั้ง 2ส่วนมีการใช้งบประมาณไปทั้งหมด 6ล้าน 7แสนเยน
ในปัจจุบันความสำคัญของศาลเจ้าเมจิไม่ได้มีไว้เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่สำคัญของคนญี่ปุ่นในการประกอบพิธีกรรมตามลัทธิชินโต เช่น งานแต่งงาน งานไหว้ขอพรช่วงปีใหม่ พิธีรับตำแหน่งโยโกสุนะซึ่งเป็นตำแหน่งแชมป์ของนักกีฬาซูโม่ เป็นต้น
สิ่งที่น่าทำในศาลเจ้าเมจิ
ในศาลเจ้าเมจิจะมีกิจกรรมต่างๆ ไม่ต่างจากศาลเจ้าทั่วไปนัก นอกจากการไปไหว้พระขอพรในช่วงปกติแล้ว ศาลเจ้าเมจิ คือ ศาลเจ้าที่คนญี่ปุ่นเดินทางไปไหว้พระขอพรในช่วงปีใหม่หรือที่เรียกกันว่า "ฮัทสึโมเดะ (初詣)" มากที่สุดในประเทศ โดยแต่ละปีจะมีมากถึงประมาณ 3ล้านกว่าคน
เรียกได้ว่าช่วงปีใหม่ถ้าใครไม่ชอบที่ที่คนเยอะๆ เราแนะนำว่าขอให้หลีกเลี่ยงศาลเจ้าเมจิไปเลย
ในส่วนของด้านใน ตรงบริเวณทางเข้าทุกคนจะได้เห็นประตูกั้นโลกมนุษย์และสวรรค์ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นที่เรียกว่า โทริอิ (鳥居) แต่ประตูของศาลเจ้าเมจินั้นมีขนาดที่ใหญ่มาก ใครได้ไปเยือนทุกคนจะต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก เดินเข้าไปอีกสักนิดจะสังเกตเห็นถังไวน์ที่วางเรียงราย ซึ่งถังไวน์เหล่านี้ได้รับการบริจาคมาจากเมืองผลิตไวน์ชื่อดังอย่างแคว้นบูร์กอญ ประเทศฝรั่งเศส โดยว่ากันว่าในยุคเมจินั้นเป็นยุคเปิดประเทศ ทำให้วัฒนธรรมจากชาติตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาในญี่ปุ่น และสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิก็ยังทรงชื่นชอบเหล้าองุ่นอีกด้วย
เมื่อเราเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาวเข้าไป สุดท้ายเราก็จะเจอตัวศาลเจ้าหลัก หลังจากทำความเคารพขอพรกันไปแล้ว ก็เดินไปยังจุดเสี่ยงเซียมซี เซียมซีของที่นี่จะแตกต่างจากศาลเจ้าที่อื่น โดยไม่ได้เรียกว่า โอมิคุจิ (おみくじ) แต่จะเรียกว่าเป็น โอมิโคโคโระ (大御心) และแท้จริงแล้วในกระดาษก็ไม่ใช่เซียมซีที่จะเขียนว่าท่านดวงดีหรือร้าย แต่จะเขียนบทกลอนที่แต่งโดยสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิเอาไว้ เพราะฉะนั้นคนที่ได้รับกระดาษนี้ไปจะต้องนำติดตัวกลับไปด้วย เราจะเห็นได้ว่าภายในศาลเจ้าแห่งนี้ไม่มีจุดผูกฝากกระดาษเซียมซีเหมือนศาลเจ้าอื่นๆ ทั่วไป
ก่อนกลับใครที่ต้องการซื้อเครื่องรางเป็นของฝากที่ศาลเจ้าแห่งนี้ก็มีเครื่องรางหลากหลายประเภทจำหน่ายด้วยกัน เช่น เครื่องรางคุ้มครองสุขภาพกายและใจ เครื่องรางให้ประสบความสำเร็จในการหางาน เครื่องรางครองรักยืนยาวสำหรับคู่สามีภรรยา เครื่องรางขายเป็นคู่สำหรับคู่รัก เครื่องรางสำหรับนักท่องเที่ยว เครื่องรางเกี่ยวกับการศึกษา เครื่องรางให้มีความสุข เครื่องรางเกี่ยวกับกีฬา เครื่องรางสำหรับคุณแม่ที่กำลังจะคลอดบุตร เครื่องรางให้ฟื้นจากอาการป่วย และอื่นๆ เป็นต้น
ที่เที่ยวอื่นๆ ใกล้ศาลเจ้าเมจิ
หลังจากไปขอพรที่ศาลเจ้าเมจิเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางไปยังรอบๆ เพื่อเที่ยวชมสถานที่อื่นๆ
ใกล้ๆ กันนั้นมีสวนสาธารณะโยโยงิ (代々木公園) ซึ่งส่วนหนึ่งของที่นี่เคยถูกปรับปรุงเป็นบ้านพักนักกีฬาเมื่อคราวที่โตเกียวจัดโตเกียวโอลิมปิค 1964 ด้วย สวนสาธารณะโยโยงิขึ้นชื่อเรื่องการไปชมดอกซากุระในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ถ้าใครไปช่วงอื่นก็สามารถไปนั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจกันได้
เดินออกจากศาลเจ้ามานิดหน่อยก็จะเจอสถานีรถไฟฮาราจูกุ สถานีรถไฟเล็กๆ แต่ดูเข้ากันกับบรรยากาศโดยรอบ เดินข้ามถนนมาก็จะเจอแหล่งรวมวัยรุ่นญี่ปุ่น ถนนสายที่ชื่อว่าน่ารักที่สุดในโตเกียวกับ ฮาราจูกุ ถนนทาเคะชิตะ (原宿竹下通り) นอกจากจะได้ช็อปปิ้งเสื้อผ้ากันให้หนำใจแล้ว ก็แวะทานเครปญี่ปุ่นของขื้นชื่อที่ใครมาฮาราจูกุก็ต้องแวะซื้อทาน รวมไปถึงขนมหวานเจ้าอื่นๆ อีกมากมาย แวะถนนแคทสตรีทดูวัยรุ่นญี่ปุ่น กับร้านขายเสื้อผ้าแนวๆ กันสักหน่อย
สุดทางถนนทาเคะชิตะก็จะเจอย่านโอโมเตะซันโดะ (表参道) แหล่งรวมวัยรุ่นฮิปๆ ถนนสายนี้เต็มไปด้วยร้านขายเสื้อผ้าที่มีทั้งแบรนด์ญี่ปุ่น และแบรนด์ต่างชาติ ร้านอาหาร ร้านคาเฟ่เก๋ๆ เต็มไปหมด
ใครแรงเหลือเดินต่อกันไปเลยก็จะเจอชิบูยะ (渋谷) แวะถ่ายรูปที่ทางห้าแยกสุดโด่งดังประจำโตเกียวอัพลงอินสตาแกรมเท่ๆ แวะไปทักทายรูปปั้นหมาน้อยรอเจ้าของที่รูปปั้นฮาจิโกะ ช่วงกลางคืนใกล้ๆ กันกับศาลเจ้าเมจิห่างไปแค่ 2สถานีก็ได้ไปเที่ยวย่านแสงสีที่ชินจูกุ (新宿) กันแล้ว ศาลเจ้าเมจิจึงเป็นศาลเจ้ากลางเมืองที่เดินทางไปเที่ยวไหนต่อก็สะดวกทั้งนั้น
ในส่วนของ Meiji Jingu Gaien นั้น เราขอแนะนำให้ไปช่วงฤดูใบไม้ร่วงประมาณเดือนพฤศจิกายนจะมีจัดเทศกาล Jingu Gaien Icho Matsuri หรือเทศกาลชมใบแปะก๊วย สองข้างทางของทางเดินจะเต็มไปด้วยใบแปะก๊วยสีเหลืองทองสะพรั่ง ขอบอกว่าถ่ายรูปสวยมากๆๆๆๆๆๆ นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารให้บริการเต็มไปหมด อากาศดีๆ วิวสวยๆ ฟินแน่นอน
วิธีไปศาลเจ้าเมจิ
การเดินทางไปศาลเจ้าเมจินั้นสะดวกมากๆ ด้วยประตูทางเข้าทั้งหมด 3ทาง
ประตูทิศใต้ทางฝั่งทางเข้าจากฮาราจูกุ เป็นประตูที่คนเยอะที่สุด และจะมีโทริอิใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่ สามารถนั่งรถไฟ JR Yamanote Line มาลงที่สถานี Harajuku หรือรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย Chiyoda Line ลงสถานี Meijijingu-Mae
ฝั่งประตูทิศเหนือฝั่งทางเข้าจากโยโยงิ นั่งรถไฟ JR Yamanote Line ลงสถานี Yoyogi หรือรถไฟใต้ดิน Toei Oedo Line ลงสถานี Yoyogi หรือรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สถานี Kita-Sando โดยจะเดินไกลหน่อยกว่าจะถึงประตูโทริอิที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากัน แต่จะใกล้ตัวอาคารศาลเจ้ามากกว่า
สุดท้ายประตูทิศตะวันตกฝั่งทางเข้าจาก Sangubashi นั่งรถไฟ Odakyu Line ลงสถานี Sangubashi เป็นประตูที่อาจไม่มีโอกาสได้ใช้ เพราะนักท่องเที่ยวจะไม่ค่อยใช้รถไฟ Odakyu กัน หากซื้อ JR Pass หรือบัตรหนึ่งวันของ Tokyo Metro เอาไว้ แต่ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ใก้ลศาลเจ้า
ทั้งนี้ประตูที่สะดวกที่สุด คนเยอะที่สุด ไม่กลัวหลง และเป็นวิวที่คุ้นเคยที่เห็นกันในภาพถ่ายบ่อยที่สุด ก็คือทางฝั่งฮาราจูกุ
ปิดท้าย
ศาลเจ้าเมจิ เป็นศาลเจ้าใจกลางเมืองที่คุณควรจะไปสักครั้ง เป็น Power Spot หรือแหล่งพลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญของคนญี่ปุ่นและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญทางด้านวัฒนธรรม หากในแพลนคุณตั้งใจจะไปเที่ยวฮาราจูกุ ชิบูยะ หรือชินจูกุอยู่แล้ว ลองเผื่อเวลาออกแต่เช้าแวะไปไหว้ขอพรที่ศาลเจ้าเมจิเสียหน่อยก็เป็นตัวเลือกที่ดีเหมือนกันใช่ไหมล่ะ แต่ต้องระวังอย่าเอาไว้ช่วงเย็นนะ เพราะที่นี่ปิดเร็วมากๆในหน้าร้อนปิดประตูหกโมง แต่ช่วงที่หนาวสุดๆ บางเดือนอย่างธันวาคมหรือมกราคม แค่สี่โมงก็ปิดแล้ว