รวม 15 สุดยอด ที่เที่ยวญี่ปุ่น เดือนพฤศจิกายน
เดือนพฤศจิกายนถือเป็นช่วงเวลาพีคของฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งสามารถพบกับความสวยงามของใบไม้หลากสีสันได้แทบทุกแห่งตามเมืองใหญ่ต่างๆ ของญี่ปุ่น ครั้งนี้เราได้รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยว 10 แห่งที่ไม่ควรพลาดหากได้มาเยือนญี่ปุ่นในเดือนนี้ ซึ่งมีทั้งจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ และสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายรูปแบบที่น่าประทับใจไม่แพ้กัน
1. สวนโคอิชิคาวะ โคระคุเอ็น มหานครโตเกียว (Koishikawa Korakuen Garden, Tokyo)
สวนสาธาณะที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโตเกียว (Tokyo) ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1629 ซึ่งมีบรรยากาศแบบสวนญี่ปุ่นดั้งเดิมโดยมีทั้งบ่อน้ำ สะพาน และการปลูกต้นไม้ที่มีความสวยงามในทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี
โดยในเดือนพฤศจิกายน ต้นเมเปิ้ลและแปะก๊วยหลายร้อยต้นภายในสวนแห่งนี้จะเปลี่ยนสีสันพร้อมกันอย่างสวยงาม โดยสามารถชมไปตามเส้นทางที่ทอดยาวรอบๆ สวน หรือแม้กระทั่งบริเวณทางเท้าด้านนอกสวน ก็ยังมีแนวต้นแป๊ะก๊วยให้เดินชมความสวยงามตั้งแต่ก่อนที่จะก้าวเท้าเข้ามาในสวนแห่งนี้ ถือเป็นจุดชมใบไม้อันดับเปลี่ยนสีอันดับต้นๆ ในโตเกียว ที่ให้กลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นโบราณ และมีความสวยงามโดยไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงเมืองอื่นๆ
ค่าเข้าชม: 300 เยน
เวลาเปิดปิด: 09.00 – 17.00 น.
การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน สถานี Korakuen Station
2. หมู่บ้านชิราคาวะโกะ จังหวัดกิฟุ (Shirakawago Village, Gifu)
หมู่บ้านชิราคาวะโกะถือเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตตลอดกาลของนักท่องเที่ยว ทั้งความมีเอกลักษณ์ของตัวบ้านแบบญี่ปุ่นโบราณที่เรียกว่ากัสโช ซูคุริ ซึ่งมีจุดเด่นที่หลังคาทรงสามเหลี่ยมสูง บวกกับบรรยากาศโดยรอบที่ถูกโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ ภูเขา และแม่น้ำ ทำให้ที่นี่มีความสวยงามในทุกฤดูกาล
โดยในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก็เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาพิเศษที่จะได้สัมผัสกับความสวยงามของหมู่บ้าน โดยมีภูเขาทั้งลูกที่เปลี่ยนสีสันพร้อมกันอย่างสวยงามเป็นฉากหลัง และยังเป็นช่วงเวลาที่มีอากาศค่อนข้างเย็นสบาย ไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป จึงสามารถเดินชมความสวยงามได้อย่างสะดวก ซึ่งหากใครต้องการลองพักค้างคืนเพื่อสัมผัสบรรยากาศแบบเป็นส่วนตัว หรือเพื่อให้มีเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงเวลาที่มีนักท่องเที่ยวน้อยๆ บ้านบางหลังในหมู่บ้านแห่งนี้ก็เปิดให้พักค้างคืนได้เช่นกัน
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดปิด: เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: จากสถานี Takayama ต่อรถบัส Nohi Bus มายังหมู่บ้าน
3. ยุฟุอิน จังหวัดโออิตะ (Yufuin, Oita)
เมืองอนเซ็นยุฟุอินเป็นอีกหนึ่งจดหมายปลายทางที่สามารถสัมผัสกับความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสี ควบคู่ไปกับบรรยากาศอันแสนน่ารักและอบอุ่นของเมือง โดยเฉพาะบริเวณทะเลสาบคินริน (Lake Kinrin) ซึ่งจะมีความสวยงามเป็นพิเศษในฤดูนี้ จากต้นเมเปิ้ลและแป๊ะก๊วยบริเวณริมทะเลสาบที่พร้อมใจกันเปลี่ยนสีอย่างงดงาม
และหากแวะมาในช่วงเช้า ก็จะได้เจอกับหมอกที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ในขณะเดียวกันก็ยังมีมุมสวยๆ อีกมากมายภายในตัวเมืองที่สามารถชมใบไม้เปลี่ยนสี และยังมีวิธีการเที่ยวชมเมืองที่น่าประทับใจอย่างการนั่งรถม้าทสึจิบะชะ (Tsujibasha) หรือรถคนลากจินริคิฉะ (Jinrikisha) และยังสามารถแวะเดินช้อปปิ้งหรือแวะคาเฟ่น่ารักๆ ได้อีก และหากจะให้ดีก็พักค้างคืนเพื่อที่จะได้มีโอกาสแช่อนเซ็นเพื่อผ่อนคลายไปในตัว
ค่าเข้าชม: ฟรี (สถานที่บางแห่งอาจมีค่าเข้าชมเพิ่มเติม)
เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: สถานี Yufuin
4. อาราชิยาม่า จังหวัดเกียวโต (Arashiyama, Kyoto)
อาราชิยาม่าเป็นเมืองเล็กๆ ทางตะวันตกของเกียวโตที่มีทั้งวัดเก่าแก่ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก เป็นที่ตั้งของป่าไผ่อาราชิยาม่า (Arashiyama Bamboo Groove) อันโด่งดัง และยังมีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติทั้งแม่น้ำสายใหญ่และภูเขาสูง จึงไม่แปลกที่ในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่เมืองนี้จะแน่นขนัดไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาชมความสวยงามตามจุดต่างๆ
โดยสองไฮไลท์สำคัญในการชมใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่คือการล่องเรือแบบญี่ปุ่นโบราณไปตามแม่น้ำ และอีกวิธีหนึ่งคือการขึ้นรถไฟขบวนพิเศษสายโรแมนติคซากาโนะ ที่จะแล่นลัดเลี้ยวไปตามแนวภูเขาเพื่อชมความสวยงามของธรรมชาติอย่างใกล้ชิด หรือเพียงแค่เดินข้ามสะพานโทเก็ตสึเคียว (Togetsu-kyo Bridge) ซึ่งเปรียบเสมือนแลนด์มาร์คของเมืองนี้ ก็จะได้สัมผัสกับสายน้ำและภูเขาที่มีต้นไม้เปลี่ยนสีสันอย่างสวยงามพร้อมกันอยู่เบื้องหน้า
ค่าเข้าชม: ฟรี (สถานที่บางแห่งอาจมีค่าเข้าชมเพิ่มเติม)
เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: สถานี Arashiyama หรือ Saga-Arashiyama
5. สวนนารา จังหวัดนารา (Nara Park, Nara)
สวนนาราถือเป็นสถานที่ในการชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ไม่เหมือนใคร เพราะนอกจากจะได้พบกับต้นเมเปิ้ลและแปะก๊วยจำนวนมากภายในสวนที่เปลี่ยนสีสันอย่างงดงามแล้ว ยังมีเอกลักษณ์และชีวิตชีวาจากเหล่ากวางป่านับพันตัวที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยสร้าบรรยากาศในการชมสวนแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี และไม่ว่าจะเดินไปที่จุดไหน ก็จะพบกับเจ้ากวางเหล่านี้ในอิริยาบถต่างๆ อยู่เสมอ
และนอกจากการเดินเที่ยวภายในสวนอันกว้างใหญ่แห่งนี้แล้ว ในบริเวณเดียวกันก็ยังมีสถานที่สำคัญที่ไม่ควรพลาดแวะชมอยู่หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นวัดโทไดจิ (Todaiji Temple) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปขนาดใหญ่ หรือวัดโคฟุคุจิ (Kofukuji Temple) ที่มีเจดีย์ 5 ชั้นขนาดใหญ่อันเก่าแก่ และศาลเจ้าคาซุงะไทฉะ (Kasuga Taisha Shrine) ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: สถานี Nara หรือ Kintetsu Nara
6. เกาะมิยาจิม่า จังหวัดฮิโรชิม่า (Miyajima Island, Hiroshima)
เกาะมิยาจิม่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดฮิโรชิม่า จากการเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ (Itsukushima Shrine) ที่มีความสวยงามจนได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก และเสาโทริอิขนาดใหญ่กลางทะเลซึ่งเปรียบเสมือนแลนด์มาร์คของเกาะแห่งนี้ นอกจากนี้บนเกาะยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นถนนสายช้อปปิ้งโอโมเตะซันโด (Miyajima Omotesando Shopping Street) หรือภูเขามิเซ็น (Mount Misen) ที่สามารถนั่งกระเช้าขึ้นไปยังจุดชมวิวมุมสูงด้านบนได้
แน่นอนว่าในเดือนพฤศจิกายน บนเกาะแห่งนี้ก็จะมีความสวยงามเป็นพิเศษจากใบไม้เปลี่ยนสีที่พบได้แทบทุกจุดบนเกาะ โดยเฉพาะที่สวนโมมิจิดานิ (Momijidani Park) ซึ่งมีต้นเมเปิ้ลและต้นแปะก๊วยอยู่หลายร้อยต้นซึ่งจะเปลี่ยนสีสันอย่างสวยงามในช่วงเวลานี้
ค่าเข้าชม: ฟรี (สถานที่บางแห่งบนเกาะอาจมีค่าเข้าชมเพิ่มเติม)
เวลาเปิดปิด: เรือเฟอรี่เที่ยวสุดท้ายหมดเวลาประมาณ 22.00 น.
การเดินทาง: สถานี Miyajimaguchi แล้วต่อเรือเฟอรี่มาที่เกาะ
7. เมืองโอโนมิจิ จังหวัดฮิโรชิม่า (Onomichi, Hiroshima)
เมืองโอโนมิจิ (Onomichi) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัดฮิโรชิม่า (Hiroshima) เป็นเมืองท่าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยวัดวาอารมเก่าแก่มากมายในพื้นที่เนินเขา อบอวลไปด้วยบรรยากาศย้อนยุค มีทะเลและภูเขาโอบล้อม ตัวเมืองหันหน้าออกสู่ทะเลเซโตะใน (Seto Inland Sea) ด้วยบรรยากาศที่มีทั้งวัดเก่าแก่และบ้านสไตล์ญี่ปุ่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ใช้ถ่ายทำละครและภาพยนตร์หลายเรื่อง
อีกทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เช่น วัดเซนโคจิ (Senkoji Temple) สามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ทางธรรมชาติได้ตลอดทั้ง 4 ฤดู วัดโบราณแห่งนี้ มีหอระฆัง (Shoro) ที่มีชื่อเสียงอยู่ในวิหารสีแดง ที่เสียงระฆังจะดังขึ้นในคืนส่งท้ายปี ถัดจากวิหารหลักจะมีก้อนหินขนาดใหญ่ ในอดีตมีลำแสงสาดส่องไปบนอัญมณีที่อยู่บนหิน จนกลายเป็นแลนมาร์คสำคัญของเมือง และยังมีคาเฟ่บ้านเก่า (Fukuro no yakata) อายุกว่า 100 ปี ซึ่งได้รับการปรับปรุงใหม่ให้กลายเป็นคาเฟ่ที่ชั้น 1 ส่วนชั้น 2 เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก ด้านในตกแต่งด้วยของกระจุกกระจิกน่ารัก
การเดินทาง : จากสถานี Onomichi บนสาย JR San'yō Main Line สามารถเดินหรือโดยสารรถประจำทางเพื่อไปท่องเที่ยวตามจุดต่างๆ ได้อย่างสะดวก
8. ทะเลสาบคาวางุจิโกะ จังหวัดยามานาชิ (Lake Kawaguchiko, Yamanashi)
ทะเลสาบคาวางุจิโกะเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีชื่อยอดนิยมช่วงฤดูใบไม้ร่วง โดยในเดือนพฤศจิกายนของทุกปีจะมีการจัดงานเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีแห่งฟูจิคาวางุจิโกะ (Fujikawaguchiko Momiji Festival) ซึ่งเป็นสุดยอดงานเทศกาลที่ผู้มาเยือนทุกคนจะได้ชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีและภูเขาฟูจิ (Mt. Fuji) ไปพร้อมๆ กันภายใต้ท้องฟ้าใสกระจ่างในฤดูใบไม้ร่วง
ที่ไม่ควรพลาดชมอีกจุดหนึ่งคือ อุโมงค์ใบไม้แดง (Maple Corridor) ที่เรียงรายไปด้วยต้นเมเปิ้ลเก่าแก่กว่า 60 ต้น และในช่วงกลางคืนก็จะมีการประดับไฟไลท์อัพให้บรรยากาศสุดแสนโรแมนติก นอกจากนี้ในช่วงงานเทศกาลยังมีการออกร้านค้ามากมาย ให้ได้เดินชิมของอร่อยๆ ไปพร้อมกับเพลิดเพลินบรรยากาศริมทะเลสาบท่ามกลางการมาเยือนของฤดูใบไม้ร่วงอีกด้วย
ช่วงเวลาจัดงาน : 28 ตุลาคม - 23 พฤศจิกายน 2023
เวลาจัดงาน : 09.00-22.00 น. (Light up เริ่มหลังพระอาทิตย์ตก)
ค่าเข้าชม : ฟรี
การเดินทาง : จากสถานีชินจูกุ (Shinjuku Station) ขึ้นรถไฟ Ltd Exp Fuji Excursion ไปลงที่สถานีคาวางุจิโกะ (Kawaguchiko Station) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ต่อรถบัสไปลงที่ป้าย Itchiku Kubota Art Museum Stop และเดินอีกเล็กน้อย
9. สวนมิฟุเนะยามะ ราคุเอ็น จังหวัดซากะ (Mifuneyama Rakuen Garden, Saga)
สวนมิฟุเนะยามะ ราคุเอ็น (Mifuneyama Rakuen Garden) ในจังหวัดซากะ (Saga) เป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่ เปี่ยมไปด้วยทิวทัศน์งดงามแตกต่างกันไปในทุกฤดูกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูใบไม้ใบเปลี่ยนสีจะแน่นขนัดไปด้วยต้นไม้ที่มีสีแดง สีส้ม สีเหลือง ให้ผู้มาเยือนได้เพลิดเพลินกับความงามของของธรรมชาตินั้น
สวนนี้มีต้นไม้สีแดงสวยกว่า 500 ต้น สร้างบรรยากาศเข้ากันกับสถาปัตยกรรมแบบเก่าอีกฟากฝั่งของชายหาดได้อย่างดีเยี่ยม รวมทั้งยามค่ำคืนก็จะมีการจัดงานประดับไฟไลท์อัพ นักท่องเที่ยวก็จะสามารถเดินชมได้ทั่วทุกบริเวณสวน เหมาะกับการเดินเล่นสบายๆ ภายใต้ใบไม้สีแดงที่สาดส่องด้วยแสงไฟงดงามภายในสวนที่งดงามมีระดับ
ช่วงเวลาจัดงาน : กลางเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคมของทุกปี
เวลาทำการ : 8.00-22.00 น. (Light up เริ่มหลังพระอาทิตย์ตก)
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 600 เยน, เด็กชั้นประถม 300 เยน, เด็กต่ำกว่าวัยเรียน ไม่เสียค่าเข้าชม
การเดินทาง : จากสถานี JR Hakata ขึ้นรถไฟ Limited Express Sasebo Line ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง มาลงที่สถานี Takeo Onsen แล้วขึ้นแท็กซี่ประมาณ 5 นาที
10. หุบเขาโครังเค จังหวัดไอจิ (Korankei Valley, Aichi)
หุบเขาโครังเค (Korankei) ตั้งอยู่ที่เมืองอาสุเกะ (Asuke) ในจังหวัดไอจิ (Aichi) มีชื่อเสียงในฐานะจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีชื่อดังของภูมิภาคนี้ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การชมใบไม้เปลี่ยนสีของที่นี่คือช่วงกลางเดือนไปจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน ภาพของภูเขากว้างที่เลียบไปตามริมน้ำใสสะอาดถูกแต่งแต้มไปด้วยสีเหลืองและสีแดงสดของต้นเมเปิ้ลกว่า 11 สายพันธุ์รวมกว่า 4,000 ต้น ช่างดูสวยงามและโดดเด่นราวกับภาพวาด
และมีการจัดงานประดับไฟไลท์อัพใบไม้เปลี่ยนสีในยามค่ำคืนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทุกปี โดยแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเที่ยวชมจำนวนมากและจุดชมวิวที่แนะนำเป็นพิเศษก็คือจากสะพานแขวน และถนนทางเดินขึ้นเขาสู่ วัดโคชะคุจิ (Koshaku-ji Temple)
เวลาทำการ : 07.00 น. เป็นต้นไปและการแสดงไลท์อัพเริ่มตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดินไปจนถึงเวลา 21.00 น.
ช่วงเวลาที่จัดงาน : ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนไป เป็นเวลา 1 เดือน
การเดินทาง : จากสถานี Josui บนสาย Tsurumai Line ต่อรถบัส Toyota Oiden Bus -Asuke Line ไปลงที่ป้าย Korankei ใช้เวลา 60 นาที
11. ปราสาทวากายามะ จังหวัดวากายามะ (Wakayama Castle, Wakayama)
ปราสาทวากายามะ (Wakayama Castle) สร้างขึ้นในสมัยเอโดะตัวอาคารหลักของปราสาทมีความสูง 3 ชั้น บริเวณรอบๆ ปราสาทเป็นจุดชมซากุระยอดนิยมที่สุดของเมืองภายในปราสาทเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงทรัพย์สมบัติและซากเดิมของปราสาทเก่าที่รอดพ้นจากการถูกเผาทำลาย
นอกจากนี้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็ยังเป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ได้รับความนิยมมากอีกแห่งโดยสามารถขึ้นไปชมทัศนียภาพอันงดงามได้ที่ด้านบนยอดปราสาทชั้น 3 นอกจากนี้ยังมีสวนโมมิจิดานิ (Momijidani Teien) ที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ปราสาท ได้รับการขนานนามว่าเป็น สวนแห่งใบไม้แดง โดยจะเปิดให้เข้าชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีได้ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงปลายเดือนธันวาคม
การเดินทาง : จากสถานี Wakayama โดยสารรถบัสไปลงที่ Koen-mae bus stop ใช้เวลา 10 นาที และเดินอีก 5 นาที
12. เมืองคุราชิกิ จังหวัดโอคายามะ (Kurashiki, Okayama)
เมืองคุราชิกิ (Kurashiki) ตั้งอยู่ในจังหวัดโอคายามะ (Okayama) เคยเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองและเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้ามาตั้งแต่สมัยเอโดะ ปัจจุบันเป็นกลุ่มโบราณสถานที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดีและเป็นเขตอนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งจุดศูนย์กลางคือทางเดินประวัติศาสตร์ย่านเมืองเก่า (Bikan Historical Quarter)
สามารถสัมผัสถึงวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นในอดีตด้วยการล่องเรือชมความงามของอาคารบ้านเรือนที่มีกำแพงสีขาวอันโดดเด่นตัดกับหลังคาสีดำและต้นหลิวสีเขียว หรือจะสัมผัสวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ด้วยการสวมกิโมโนหรือชุดยูกาตะเดินเที่ยวตามถนนเลียบคลองท่ามกลางบ้านเรือนและโกดังต่างๆ ได้ถูกปรับแต่งให้เป็นบ้านที่พักอาศัย รวมไปถึงเป็นร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารและขนมหวานขึ้นชื่อของเมืองมากมาย
การเดินทาง : จากสถานี Okayama ขึ้นรถไฟสาย JR Sanyo Line ไปลงที่สถานี Kurashiki แล้วเดินต่ออีก 15 นาที
13. หุบเขาดาคิกะเอริ จังหวัดอาคิตะ (Dakigaeri Valley, Akita)
หุบเขาดาคิกะเอริ (Dakigaeri Valley) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงของจังหวัดอาคิตะ (Akita) ในฤดูใบไม้ร่วง สองข้างหุบเขาจะเต็มไปด้วยทิวทัศน์ธรรมชาติและพรรณไม้นานาชนิด ไฮไลท์ของที่นี่คือลำธารน้ำสีฟ้าใส สะท้อนกับภาพวิวใบไม้ที่พร้อมใจกันสลับสี ยิ่งช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับหุบเขาแห่งนี้ เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการถ่ายภาพเป็นอย่างนี้
นอกจากจะชมความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีแล้วก็ยังมีทิวทัศน์ทางภูมิศาสตร์ประเภทเกาะแก่ง หินรูปทรงแปลกประหลาด รวมถึงน้ำตกน้อยใหญ่ก็มีความสวยงามไม่แพ้กัน โดยวิวของสะพานเก่าคามิโนะอิวะฮาชิ (Kami-no-Iwahashi) ถือเป็นมุมถ่ายภาพซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่
การเดินทาง : จากสถานี Kakunodate ต่อรถแท็กซี่ประมาณ 10 นาที
14. เมืองอาคาชิ จังหวัดเฮียวโงะ (Akashi, Hyogo)
เมืองอาคาชิ (Akashi) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo) สถานที่น่าสนใจของเมืองนี้คือย่านการค้าอุโอโนะทานะ (Uonotana Shopping Street) ที่นี่เป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าต่างๆ โดยได้รวบรวมร้านค้าไว้มากมายกว่า 100 ร้าน ลักษณะเป็นทางเดินยาวกว่า 350 เมตร อาทิ เสื้อผ้า ของใช้ในครัว ผักสด โดยเฉพาะอาหารทะเลทั้งสดและแห้ง
ตลอดทางมีหลังคาโค้งยาวทำให้ไม่ว่าฝนตกหรือแดดออกก็ยังสามารถเพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งเลือกหาของซื้อของฝากได้ตลอด ตามทางจะพบร้านขายอาหารทะเลมากมายโดยเฉพาะปลาหมึกยักษ์ เพราะเป็นสินค้าขึ้นชื่อของที่นี่ และที่ไม่ควรพลาดอีกอย่างคือ อาคาชิยากิ (Akashi-yaki) เมนูที่มีลักษณะคล้ายกับทาโกะยากิ แต่มีความนุ่มมากกว่าและฟูแบบนิ่มๆ ด้านในสอดไส้ด้วยปลาหมึกยักษ์และเสิร์ฟพร้อมกับน้ำซุป
การเดินทาง : จากสถานี Akashi บนสาย JR San'yō Main Line เดิน 4 นาที
15. หุบเขาสุมาตะเคียว จังหวัดชิซึโอกะ (Sumatakyo Gorge, Shizuoka)
หุบเขาสุมาตะเคียวเป็นจุดท่องเที่ยวทางธรรมชาติซึ่งเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากภาพของสะพานแขวนยูเมะ โนะ สึริบาชิ (Yume no Tsuribashi Suspension Bridge) ที่ทอดยาวเหนือแม่น้ำที่มีสีฟ้าสดใสราวกับในเทพนิยาย นอกจากนี้พื้นที่โดยรวมยังมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน ต้นไม้ทั้งหุบเขาแห่งนี้ก็จะเปลี่ยนสีสันอย่างสวยงาม และยังมีเส้นทางเดินชมธรรมชาติหลากหลายเส้นทางให้เลือกเพื่อสัมผัสกับใบไม้เปลี่ยนสีได้อย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ ยังสามารถเพิ่มประสบการณ์ที่น่าประทับใจได้ด้วยการเดินทางโดยรถจักรไอน้ำ SL ของบริษัท Oigawa Railways ซึ่งเป็นหนึ่งในรถจักรไอน้ำไม่กี่สายที่ยังคงให้บริการในญี่ปุ่น และในบริเวณใกล้เคียงกันก็ยังมีเมืองอนเซ็นสุมาตะเคียว (Sumatakyo Onsen) ให้แวะพักผ่อนและแช่น้ำเพื่อคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินเขาได้อีกด้วย
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดปิด: เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: สถานี Senzu จากนั้นต่อรสบัสมาลงที่ป้าย Sumata-kyo Onsen