สนุกไปกับการเที่ยวโอกินาว่า 5 สไตล์ในฤดูร้อน
โอกินาว่าถึอเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของทุกคนในช่วงฤดูร้อน ที่ใครๆ ก็อยากเดินทางมาสัมผัสกับความสวยงามของท้องทะเลสีคราม โดยวันนี้เราจะแนะนำการท่องเที่ยวโอกินาว่าใน 5 รูปแบบที่มีทั้งการสนุกกับกิจกรรมทางน้ำ การเช่ารถขับ การชิมอาหารท้องถิ่นสแสนอร่อย การศึกษาวัฒนธรรมริวกิว และปิดท้ายด้วยการเรียนรู้เรื่องราวในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
1. เพลิดเพลินกับกิจกรรมทางน้ำหลากหลายรูปแบบ
เป้าหมายอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางไปโอกินาว่าคงเป็นการเดินทางไปสัมผัสกับความสวยงามของท้องทะเลและชายหาดของโอกินาว่า และสนุกกับกิจกรรมทางน้ำหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่เล่นน้ำบริเวณชายหาด ซึ่งโอกินาว่านั้นมีหาดสวยๆ อยู่หลายแห่งไม่ว่าจะเป็นหาดมันซะ (Manza Beach) หนึ่งในหาดยอดฮิตของโอกินาว่า หาดเอเมรัลด์ (Emerald Beach) ที่ตั้งอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชุระอุมิ (Okinawa Churaumi Aquarium) และหาดมูนบีช (Moon Beach) ที่มีเอกลักษณ์ตรงรูปทรงของหาดที่โค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งชายหาดทุกแห่งมีจุดเด่นตรงที่มีหาดทรายสวย น้ำทะเลใส และยังมีกิจกรรมสนุกแบบอื่นๆ ให้เลือกทำอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำแบบสน็อกเกิ้ล เล่นพาราเซลลิ่ง หรือเจ๊ทสกี
โอกินาว่ายังเป็นสวรรค์ของคนรักการดำน้ำ โดยมีจุดดำน้ำอยู่เป็นจำนวนมาก และในแต่ละฤดูกาลก็จะได้สัมผัสกับความสวยงามของโลกใต้น้ำที่แตกต่างกันไป เช่นจุดดำน้ำบริเวณแหลมมาเอดะ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจุดดำน้ำที่ดีที่สุดบนเกาะหลักของโอกินาว่า มีทั้งถ้ำสีน้ำเงิน หน้าผาใต้น้ำ ฝูงปลาหลากหลายชนิด และแนวปะการัง และยังมีโอกาสได้พบกับเต่าทะเลอีกด้วย และยังมีจุดดำน้ำอีกแห่งที่ถือเป็นไฮไลท์ของโอกินาว่า นั่นคือจุดดำน้ำบนเกาะโยนากุนิ (Yonaguni Island) ซึ่งจะได้พบกับซากอารยธรรมลึกลับใต้ทะเลขนาดใหญ่ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีคำตอบว่าซากอาคารเหล่านี้มีความเป็นมาอย่างไร แล้วใครเป็นผู้สร้าง
2. เช่ารถขับเที่ยวรอบเกาะ
แม้ว่าเกาะโอกินาว่าจะดูเหมือนมีระบบขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุม ทั้งรถโมโนเรลในตัวเมืองนาฮา และรถบัสที่วิ่งไปยังจุดต่างๆ รอบเกาะ แต่รอบรถบัสเองก็มีค่อนข้างน้อย และยังมีเวลาให้บริการที่จำกัด ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนนิยมเช่ารถขับเพื่อท่องเที่ยวโอกินาว่าอย่างสะดวกสบาย โดยนอกจากจะมีข้อดีตรงที่สามารถแวะเที่ยวสถานที่ต่างๆ ได้ตามที่ตัวเองต้องการแล้ว ถนนสายต่างๆ บนเกาะโอกินาว่ายังมีบรรยากาศที่น่าประทับใจจากการขับรถกินลม และชมความสวยงามของวิวท้องทะเลระหว่างทาง
ตัวอย่างของเส้นทางสวยๆ ที่ไม่ควรพลาดเมื่อเช่ารถขับที่โอกินาว่า เช่นทางหลวงหมายเลข 58 ซึ่งเป็นเส้นทางขับรถจากบริเวณตอนกลางของเกาะไปจนถึงตอนเหนือสุดของเกาะ และเป็นถนนหลักที่วิ่งเลียบชายทะเลแทบจะตลอดเส้นทาง จึงมีโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศสวยๆ ตลอดเวลา หรือบริเวณสะพานโคริ (Kouri Bridge) ที่เชื่อมระหว่างเกาะโคริ (Kori Island) กับเกาะโอกินาว่า ซึ่งเป็นสะพานที่ทอดยาวกลางท้องทะเลสีเขียวมรกตตัดกับฟ้าสีครามที่มอบบรรยากาศสุดประทับใจ
3. ชิมอาหารท้องถิ่นสไตล์โอกินาว่า
นอกจากท้องทะเลและชายหาดแล้ว โอกินาว่ายังมีจุดเด่นเรื่องวัฒนธรรมอาหารการกินที่มีเอกลักษณ์ และไม่เหมือนกับที่ไหนๆ ในญี่ปุ่น โดยเมนูส่วนใหญ่จะได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน เนื่องจากประวัติศาสตร์ในอดีตของโอกินาว่านั้นมีการติดต่อค้าขายกับจีนอยู่ตลอดเวลา โดยหนึ่งในเมนูขึ้นชื่อที่พบเห็นได้ทั่วไปก็คือราฟุเท (Rafutei) หรือหมูตุ๋นสไตล์โอกินาว่า ซึ่งทำจากหมูสามชั้นชิ้นใหญ่ นำไปตุ๋นกับเหล้า โชยุ และน้ำตาลทรายแดง จนเนื้อนุ่ม เปื่อยถึงขนาดที่ใช้ตะเกียบฉีกเนื้อได้ และสามารถทานคู่กับข้าวสวย และยังเอาไปประกอบเมนูอื่นได้อีกหลากหลายเมนู รวมไปถึงโอเด้งสไตล์โอกินาว่าเองก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
อีกหนึ่งเมนูที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันก็คือโซกิโซบะ (Soki Soba) ซึ่งคำว่า โซกิ (Soki) เป็นภาษาท้องถิ่นที่หมายถึงซี่โครงหมู ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเมนูนี้ และนำมารวมกับบะหมี่น้ำหรือโซบะ (Soba) สไตล์โอกินาว่า โดยจุดเด่นคือน้ำซุปที่ใส และหน้าตารวมๆ ของเมนูนี้ที่อาจจะดูเรียบง่ายและธรรมดา แต่มีรสชาติที่ซับซ้อน และร้านแต่ละร้านก็มีสูตรที่แตกต่างกันไป หากยังไม่จุใจ ก็ยังมีโกยะ ชัมปุรุ (Goya Champuru) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมนูที่หาทานได้แทบทุกร้านในโอกินาว่า โดยความหมายทั่วไปแล้วเมนูนี้จะหมายถึงการนำวัตถุดิบต่างๆ มาผัดรวมกัน แต่สูตรที่พบเห็นทั่วไปจะเป็นการนำมะระ ไข่ เนื้อหมู และเต้าหู้มาผัดรวมกัน
4. สัมผัสวัฒนธรรมริวกิว
โอกินาว่าถือเป็นพื้นที่ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานไม่แพ้ที่อื่นๆ ในประเทศญี่ปุ่น จากการเป็นอาณาจักรริวกิวอันยิ่งใหญ่ในอดีต ซึ่งส่งผลให้มีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ และหลายอย่างก็ยังคงหลงเหลือให้สัมผัสมาจนถึงในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่างปราสาทชูริ (Shuri Castle) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองในอดีต และมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมริวกิวได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ยังมีสถานที่อีกหลายแห่งที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เข้าร่วมหรือสัมผัสกับรูปแบบวัฒนธรรมริวกิวอย่างใกล้ชิดผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่นที่หมู่บ้านเครื่องแก้วริวกิว (Ryukyu Glass Village) ซึ่งนำเสนอศิลปะเป่าแก้วอันเป็นเอกลักษณ์ของโอกินาว่าที่มีต้นกำเนิดตั้งแต่ค.ศ.1600 เมื่อจีนส่งเครื่องแก้วเข้ามาพร้อมสินค้าอื่นๆ และยังมีเวิร์คช้อปให้ร่วมทำเครื่องแก้วได้ด้วยตัวเอง และยังมีโอกินาวะเวิลด์ (Okinawa World) สวนสนุกที่ตกแต่งและเน้นถึงเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมริวกิว ซึ่งมีทั้งหมู่บ้านโบราณแบบจำลอง การแสดงท้องถิ่น และเรื่องราวของวัฒนธรรมริวกิวแทบทุกมุม
5. เรียนรู้ประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
โอกินาว่าเคยเป็นสมรภูมิรบแห่งสุดท้ายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยตำแหน่งที่ตั้งซึ่งไม่ไกลจากประเทศใกล้เคียงอย่างไต้หวันหรือฟิลิปปินส์ ทำให้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ จนนำมาสู่การที่กองทัพอเมริกาต้องยกพลขึ้นบกที่นี่ โดยสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญบนเกาะโอกินาว่าที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้เรื่องราวอันโหดร้ายในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็คือสวนแห่งสันติภาพ (Peace Memorials Park)
ภายในสวนยังมีสถานที่ย่อยอีกมากมายที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นอนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์ฮิเมะยุริ (Himeyuri Monument / Himeyuri Peace Museum) ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงกลุ่มนักเรียนหญิงที่ถูกเกณฑ์ให้มาทำงานพยาบาลให้กับเหล่าทหาร และต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า และอดีตกองบัญชาการกองทัพใต้ดิน (Former Navy Underground Headquarters) ซึ่งเป็นอุโมงค์ใต้ดินลึกกว่า 300 ซึ่งเคยใช้เป็นกองบัญชาการของทหารญี่ปุ่นในการต่อสู้กับอเมริกา โดยในวันที่ถูกทหารอเมริกาล้อมเอาไว้ ทหารญี่ปุ่นกว่า 4,000 นายที่อยู่ในอุโมงค์แห่งนี้ก็ได้พร้อมใจกับปลิดชีวิตตัวเองลง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความพยายามของชาวโอกินาว่าในการย้ำเตือนถึงความโหดร้ายของสงคราม เพื่อไม่ให้เราทุกคนสร้างสงครามเช่นนี้ขึ้นมาอีก
ผู้เขียน: ชินพงศ์ มุ่งศิริ
เริ่มต้นทำงานเป็นช่างภาพอิสระหลังเรียนจบ เดินทางไปถ่ายภาพที่ประเทศญี่ปุ่นบ่อยครั้งจนครบทั้ง 4 ฤดูอันสวยงาม และเกือบครบทุกภูมิภาค มีผลงานภาพถ่ายตีพิมพ์ในไกด์บุ๊คระดับโลกอย่าง Lonely Planet ถึง 3 เล่ม คือ Discovery Japan, Japan และ Kyoto รวมถึงเว็บไซต์ท่องเที่ยวชั้นนำอย่าง National Geographic Traveler UK, BBC Travel, Travel+Leisure, TIME และอีกมาก
นอกจากการถ่ายทอดความสวยงามของประเทศญี่ปุ่นผ่านภาพถ่าย ปัจจุบันยังหันมาถ่ายทอดเรื่องราวผ่านทางตัวอักษรทั้งในฐานะนักเขียนและนักแปลควบคู่กันไปอีกด้วย